สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ตั้งเป้าปี 2564 รายได้โต 15-20% ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง ฟาก "ชนินทร์ เย็นสุดใจ" บิ๊กบอสเผยปัจจุบันมี Backlog ทั้งในและต่างประเทศตุนไว้กว่า 9,000 ล้านบาท เดินหน้าประมูลงานใหม่เพียบ เร่งเครื่องเพิ่มกำลังผลิตโรงงานเวียดนาม หวังใช้เป็นฐานส่งออกไป 50 ประเทศ ประเดิมบุกตลาดสหรัฐฯ หลังจีนรับผลกระทบกำแพงภาษี
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผู้ผลิต และจำหน่ายสายไฟฟ้าสำหรับระบบการส่ง และจ่ายกระแสไฟฟ้า สายไฟฟ้าทั่วไปซึ่งเป็นรายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่าการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 15-20% และคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีก เนื่องจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิลมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้า ซึ่งแผนการลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนพัฒนาระบบส่ง และจำหน่ายไฟฟ้า
ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก
"สำหรับกลยุทธ์ในการบริหารในปีนี้จะมุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลาง จนถึงระดับสูงพิเศษที่มีการเติบโตสูง เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน พร้อมกับการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทจะช่วยให้เพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากขึ้นด้วย" นายชนินทร์ กล่าว
นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตสายไฟฟ้า และสายเคเบิลรวม 2.2 แสนตันต่อปี โดยแบ่งเป็นไทยและเวียดนาม 50-50% ซึ่งไทยใช้กำลังการผลิตไป 60-70% ส่วนเวียดนามใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 45-50% เท่านั้น ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะเพิ่มความเร็วในการผลิตส่วนของโรงงานเวียดนาม ภายหลังจากที่ได้ทำการบูรณาการ 2 โรงงานเข้าด้วยกันจะเกิดการประหยัดต่อขนาด และสร้างประสิทธิภาพการผลิตได้สูงสุดทำให้มีต้นทุนต่ำและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
"การเข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามสามารถสร้างมูลค่าให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะบุกตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่จีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี จึงเป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการใช้สายไฟฟ้า และเคเบิลคุณภาพสูงจำนวนมาก โดยบริษัทฯ คาดว่าจะใช้โรงงานในเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิตเพื่อส่งออก รวมถึงหาโอกาสใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้เรามีเป้าหมายสัดส่วนรายได้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น10-12% จากเดิม 8% โดยคาดว่าจะมีการส่งออกไปยัง 50 ประเทศ" นายประกรณ์ กล่าว
อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,608.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,198.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 123.92 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,858.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,528.85 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนให้กำไรเพิ่มสูง เนื่องจากรับผลดีจากการเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม ทำให้สามารถรวมกลุ่มคำสั่งซื้อวัตถุดิบทองแดง และอะลูมิเนียมมีต้นทุนลดลง อีกทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ส่งผลทำให้กำไรสุทธิเติบโตกว่า 1,198%