SCB PRIVATE BANKING สานต่อยุทธศาสตร์องค์กรผลักดันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) หนึ่งในธุรกิจหลักสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้แก่ธนาคารทดแทนรายได้แบบเดิม โดยเน้นการเพิ่มรายได้ที่มาจากการลงทุน พร้อมชูกลยุทธ์รุกตลาดไพรเวตแบงกิ้ง ภายใต้แนวคิด “BEAT THE BENCHMARK” ผ่าน 3 แกนหลัก ตั้งเป้าสิ้นปี 2566 มี AUM แตะระดับ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุดที่เหมาะกับความเสี่ยงของลูกค้า และนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ที่สามารถครองใจลูกค้าไพรเวตแบงกิ้งของเมืองไทย
นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ภาพรวมเวลธ์ทั่วโลกมีการคาดการณ์ว่าในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตกว่าปีละ 7% จากปี 2561 โดยเฉพาะในจีน และกลุ่มเอเชียแปซิฟิก 1 ธุรกิจเวลธ์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าทรัพย์สินมีโอกาสเติบโตปีละ 5% โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High Net Worth Individuals/HNWIs) ขึ้นไป ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์มองเห็นโอกาสจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาด และจากการเป็นสถาบันการเงินอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่มีฐานลูกค้าบุคคลมากกว่า 16 ล้านคน และมีฐานเงินฝากติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ทำให้ไทยพาณิชย์สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และสามารถช่วยวางแผนการเงินให้แก่ลูกค้าได้เต็มรูปแบบและครบวงจร ที่สำคัญธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์องค์กรที่สร้างการเติบโตให้แก่ธนาคารอย่างยั่งยืนทดแทนธุรกิจเดิม และธุรกิจ Wealth ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของธนาคารนับแต่ธนาคารได้ไปรับโครงสร้างแบบ Up side down
"ในปี 2563 ที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจของ SCB Wealth ทำรายได้โตสวนกระแสทั้งธุรกิจการลงทุนและธุรกิจประกัน สร้างผลกำไรให้แก่ธนาคารกว่า 15% หรือคิดเป็นสัดส่วน 56% ของรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียม และด้วยความสามารถในการให้คำปรึกษา ธนาคารจึงได้วางเป้าหมายธุรกิจเวลธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ภายใต้แนวคิด “BEAT THE BENCHMARK” ที่ทุ่มเทและเน้นในเรื่องของการดูแลให้คำปรึกษาด้านการบริหารพอร์ตการลงทุนของลูกค้า คัดสรรผลิตภัณฑ์ โซลูชันด้านการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดและเหนือกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดได้ (Beat the market) โดยเป้าหมายหลักของธนาคาร คือ ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าเวลธ์ และเป็นส่วนสำคัญในการรับผิดชอบต่อสังคม ให้คนไทยมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสม"
นายณรงค์ ศรีจักรินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ปัจจุบันภาพรวมของ SCB Wealth มีฐานลูกค้าจำนวน 340,000 ราย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้า SCB PRIME มีสินทรัพย์ 2-10 ล้านบาท กลุ่ม SCB FIRST มีสินทรัพย์ 10-50 ล้านบาท และกลุ่ม SCB PRIVATE BANKING มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยมี AUM รวม 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นมาเกตแชร์ 12% ของ AUM รวมของตลาด ตั้งเป้าหมายเติบโตในปีนี้ 10-12%
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขานรับยุทธศาสตร์องค์กรในการผลักดันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) หนึ่งในธุรกิจหลักสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้แก่ธนาคารอย่างยั่งยืน เราจึงปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจเวลธ์ ด้วยยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Wealth Transformation ตั้งแต่ปี 2560 โดยเน้นการสร้างขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา (Advisory Capability) ควบคู่ไปกับการปรับ Operating Model พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการลงทุนในรูปแบบของ Open Architecture ที่คัดสรรเป็นพิเศษจากพันธมิตรด้านการลงทุนและประกันกว่า 35 แห่ง เพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกด้านการลงทุน ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีและสามารถเพิ่มความมั่งคั่ง นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพของ RM (Relationship Manager) ให้มีความรู้ ความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเต็มรูปแบบอย่างมืออาชีพ ตอกย้ำบทบาทสำคัญของธนาคารในฐานะ “Trusted Partner” สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่วางรากฐานไว้ได้ส่งผลให้สิ้นปี 2563 ที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) เติบโตกว่า 25% โดยกลยุทธ์หลักของกลุ่มธุรกิจ SCB Wealth ในปี 2564 จะโฟกัสและมุ่งเน้นการเติบโตของเซกเมนต์ไพรเวตแบงกิ้ง ด้วยการเปิดตัวโฉมใหม่ของธุรกิจ SCB PRIVATE BANKING กับกลยุทธ์ในการให้คำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญครบวงจรและเต็มรูปแบบ”
ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน PRIVATE BANKING ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ตลาดการเงินการลงทุนทั่วโลกต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างสูง ประกอบกับการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจ “ไพรเวตแบงกิ้ง” แต่ SCB PRIVATE BANKING ได้สร้างปรากฏการณ์ในปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่อยู่ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 850,000 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะ Investment AUM (ไม่รวมเงินฝาก) จะมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 570,000 ล้านบาท และยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าได้สูงถึง 14.9% ในระยะเวลา 1 ปี (1 ม.ค.-31 ธ.ค.2563) ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทความเสี่ยงปานกลางตามคำนิยามของ AIMC3
สำหรับในปี 2564 นี้ SCB PRIVATE BANKING ยึด 3 กลยุทธ์แกนหลักอันเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ Investment Solutions for Wealth Preservation วางแผนต่อยอดความมั่งคั่งส่วนบุคคลให้แก่ลูกค้า ด้วยทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพ จัดพอร์ตการลงทุนให้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายครบวงจร ทันกับสภาวะตลาดและเศรษฐกิจในรูปแบบของ Open Architecture เพื่อเข้าถึงทุกการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในสินทรัพย์หลากหลายประเภทกว่า 10,000 หลักทรัพย์และกองทุน ไม่ว่าจะเป็น Public assets หรือ Private assets โดยปัจจุบันเชื่อมต่อถึง 19 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในไทย 23 ตลาดหลักๆ ทั่วโลก รวมไปถึงมี Discretionary Portfolio Management อีกด้วย เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
Business Solutions for Wealth Creation บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอย่างครอบคลุมรอบด้าน เน้นการสร้างความมั่งคั่งในทุกโอกาสการลงทุนแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยนำเสนอโซลูชันใหม่ๆ ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างสภาพคล่องหรือสร้างเงินใหม่ให้แก่ลูกค้า เช่น สินเชื่อเพื่อการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น SCB Property Backed Loan สินเชื่อเพื่อใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2563 ที่ผ่านมา สำหรับใช้เพิ่มกระแสเงินสด เพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดทุกจังหวะการลงทุน
และ SCB Financial Business Group ผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มไทยพาณิชย์ ที่ครบเครื่องทั้งด้านความรู้ และความชำนาญเพื่อเปิดกว้างด้านการลงทุน ครอบคลุมเรื่องธุรกิจ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดย SCB PRIVATE BANKING เป็นตัวแทนทุกกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การบริหารและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าในทุกๆ ช่องทาง
"หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของไทยพาณิชย์ คือ การขยายฐานลูกค้ากลุ่มไพรเวตให้เติบโตไปพร้อมกับก้าวใหม่ของธนาคาร โดยคาดว่าภายใต้ 3 กลยุทธ์หลักของ SCB PRIVATE BANKING ที่มุ่งพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจจะช่วยผลักดันให้ภายในสิ้นปี 2566 จะมี AUM แตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุดที่เหมาะกับความเสี่ยงของลูกค้า และนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ที่สามารถครองใจลูกค้าไพรเวตแบงกิ้งของเมืองไทย"