เถ้าแก่น้อย กำไรหดเหลือ 242 ล้านบาท และมีรายได้เพียง 3,983.1 ล้านบาท เหตุการระบาดของโควิด-19 ส่งผลยอดขายทั้งในและประเทศ-ต่างประเทศวูบ บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มารเก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN แจ้งกำไรปี 2563 อยู่ที่ 242.6 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 366.23 ล้านบาท และมีรายได้รวม 3,983.1 ล้านบาท ลดลงจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำได้ 5,266.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 24.4 เพราะรับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งยังเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้จากการขายในประเทศ และมาตรการปิดห้างสรรพสินค้า หรือห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานตามเวลาที่กำหนดในหลายประเทศ เช่น ไทย อินโดนีเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา
สำหรับตลาดในประเทศ TKN มีรายได้จากการขายไตรมาสที่ 4 จำนวน 314.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.2 จากไตรมาสเดียวกับปีที่ผ่านมา และมีรายได้จากการขายปี 2563 รวมทั้งสิ้น 1,275.6 ล้านบาท ลดลงร้อย 39.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยยังคงส่วนแบ่งการตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่าย มากกว่าร้อยละ 64 และมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาดออนไลน์และการออกสินค้าใหม่ รวมถึงขยายสายผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อทดแทนยอดขายกลุ่มนักท่องเที่ยว
โดยได้เริ่มนำสินค้านมพาสเจอไรส์รสชานม "จัสท์ดริ้งค์" เข้าวางขายในร้านสะดวกซื้อกว่า 6,000 สาขา ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม โดยวางแผนเพิ่มการกระจายสินค้าและจำหน่ายสินค้าต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2564 ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีรายได้จากการขายไตรมาสที่ 4 จำนวน 568.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 36.8 จากไตรมาสเดียวกันปีผ่านมา และมีรายได้จากการขายปี 2563 รวมทั้งสิ้น 2,707.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดจีน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40% ของยอดขายรวมลดลงร้อยละ 20.6 เมื่อเทียกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปลายปีทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากสภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และการปรับขึ้นราคาค่าขนส่ง ทางเรือระหว่างประเทศเท่าตัว
อย่างไรก็ดี คาดว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายช่วงต้นปี 2564 รวมทั้งการรับรู้ค่าใช้จ่ายแรกเข้าสินค้า (Listing Fee) 50 ล้านบาทในปีแรกของการขายร่วมกับผู้แทนจำหน่ายรายใหม่
ขณะที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นไตรมาส 4 จำนวน 179.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.4 ของรายได้จากการขาย โดยสัดส่วนกำไรต่อยอดขายลดลงร้อยละ 10.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการรับรู้ค่าเผื่อบรรจุภัณฑ์เสื่อมสภาพ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นของปี 2563 รวมทั้งสิ้น 1,024.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.7 ของรายไดจากการขาย ซึ่งลดลงร้อยละ 2.4 ช่วงเดียวกันปีก่อนจากการคุมต้นทุน
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท