เอสพีซีจี ฝ่าโควิด-19 อวดกำไร 2,731.61 ล้านบาท ผลดีจากการบริหารต้นทุนให้ต่ำลงทั้งด้านการบริหารและการเงิน อีกทั้ง "โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ" ปั้นรายได้เพิ่ม และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนโครงการ Tottori ในญี่ปุ่น บอร์ดอนุมัติปันผลอีกหุ้นละ 0.65 บาท
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 63 พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,731.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 2,669.42 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก เนื่องจากบริษัทฯ บริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ใช้นโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มลดลงถึงปีละ 69 ล้านบาท อีกทั้งใช้นโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ลงอีก
รวมถึงมีผลกำไรจากอนุพันธ์ของสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ปี 63 จำนวน 58.4 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 63 บริษัทถือปฏิบัติตามTFRS 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงินเป็นครั้งแรก และบริษัทยังมีผลกำไรจากเงินลงทุนโครงการ Tottori ประเทศญี่ปุ่น 16.4 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคาร ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมและอื่นๆ ในปี 63 มีรายได้จำนวน 526.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 62 (506.7 ล้านบาท) ประมาณ 19.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% รวมทั้งการลดต้นทุนทางการเงินได้ 94 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากจำนวนหุ้นกู้ที่ลดลงจากการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนด โดยปี 62 และ 63 บริษัทฯ จ่ายชำระคืนหุ้นกู้ 2,375 ล้านบาท และ 1,700 ล้านบาท ตามลำดับ
ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 63 ในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 0.55 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้อัตราหุ้นละ 0.65 บาท