CPALL เผยปี 64 วางงบลงทุน 1.15-1.2 หมื่นล้านบาท ใช้ขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 700 แห่ง และปรับปรุงร้านเดิม ขณะที่ขอเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้อีก 1 แสนล้านบาท ส่วนปี 63 มีกำไร 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 28% จากผลกระทบเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ลดลงหลังรัฐล็อกดาวน์คุมเข้มโควิด-19 ด้านโบรกฯ คาด SSSG หรือการเติบโตยอดขายสาขาจะพลิกเป็นบวกใน 2Q64 คำแนะนำ ซื้อลงทุนระยะยาว ให้ราคาเหมาะสมปีนี้ที่ 77.50 บาท
รายงานข่าวจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทวางแผนลงทุนขยายเครือข่ายร้านสะดวกซื้อต่อเนื่องตามการขยายตัวของชุมชน โดยมีแผนจะเปิดสาขาใหม่ 700 สาขา ซึ่งประมาณการเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และอัตราการเติบโตเฉลี่ยของร้านเดิมที่คาดว่าอยู่ระดับใกล้เคียงอัตราการเติบโตของจีดีพี โดยตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นต่อเนื่อง และผลักดันสัดส่วนสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปี 64 วางงบลงทุน 11,500-12,000 ล้านบาท ใช้ในการเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800-4,000 ล้านบาท ปรับปรุงร้านเดิม 2,400-2,500 ล้านบาท ใช้ในโครงการใหม่ บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้า 4,000-4,100 ล้านบาท และสินทรัพย์ถาวรและระบบสารสนเทศ 1,300-1,400 ล้านบาท
เผยผลงานปี 63 กำไรลดลง 28% หลังเศรษฐกิจกระทบกำลังซื้อ
สำหรับผลการดำเนินงานปี 63 มีกำไรสุทธิ 16,102.41 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22,343.08 ล้านบาท โดยปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 546,590 ล้านบาท ลดลง 4.3% โดยรายได้จากการขายสินค้าและบริการมีจำนวน 525,884 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จากเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจากมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้จำนวนลูกค้าที่เข้าร้านลดลง
ขณะที่ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเอง (ธุรกิจแม็คโคร) ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการได้ในระดับหนึ่ง จากการเติบโตของธุรกิจแม็คโครประเทศไทย และสาขาในประเทศอินเดียและกัมพูชา
กำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ อยู่ที่ 115,004 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากปีก่อน จากการลดลงของรายได้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ขณะที่ธุรกิจแม็คโครยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรขั้นต้นได้ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น ปรับลดลงเป็น 21.9% จากปีก่อนอยู่ที่ 22.7%
มีต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่ 107,858 ล้านบาท ลดลง 3.3% จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ทั้งค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพนักงาน ค่าบริหารงานร้านสะดวกซื้อ และค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ
ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารมีจำนวน 16,723 ล้านบาท ลดลง 8.0% หลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทน รวมถึงการที่ให้หยุดพักชั่วคราวของโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน (Employee Joint Investment Program - EJIP)
ปี 63 ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อมีการขยายสาขา 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 720 สาขา ตามเป้าหมาย ส่งผลให้สิ้นปีบริษัทมีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 12,432 สาขา
อนุมัติจ่ายปันผลประจำปีหุ้นละ 0.90 บาท-ขายหุ้นกู้เพิ่ม
ที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 63 อัตราหุ้นละ 0.90 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) วันที่ 5 พ.ค.64 และกำหนดจ่าย วันที่ 21 พ.ค.64
นอกจากนี้ มีมติขยายวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกไม่เกิน 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและการรีไฟแนนซ์ และเมื่อรวมวงเงินที่ได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีวงเงินรวมในการออกหุ้นกู้ใหม่ไม่เกิน 295,000 ล้านบาท
หยวนต้าคาด 2Q64 ฟื้นตัวทั้ง SSSG-ผลงาน ให้ราคาเหมาะสม 77.50 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.หยวนต้า ระบุว่า ผลประกอบการปี 2563 ทำได้ 1.6 หมื่นล้านบาท -28%YoY ผลกระทบหลักจาก COVID-19 รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากการเข้าลงทุนใน Tesco Lotus โดยมีรายได้จากการขาย 5.2 แสนล้านบาท -5%YoY และระดับมาร์จิ้นลดลงเป็น 21.9% จาก 22.7% ผลกระทบจากยอดขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นดีลดลง ขณะเดียวกัน มีผลของจากมาตรการภาครัฐแต่ทาง CPALL ไม่ได้เข้าร่วม ทำให้กำลังซื้อมีอุปทานทดแทนเกิดขึ้น
โดยคาดว่า SSSG กลับเป็นบวกใน 2Q64 แม้ว่า 4Q63 SSSG จะยังเห็นตัวเลขที่ไม่สดใส -18% YoY เป็นการติดลบเพิ่มขึ้นจาก 3Q63 ที่ 14.3%YoY ทำให้ SSSG ทั้งปี 2563 -14.3%YoY ผลกระทบหลักที่จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังไม่กลับมา ขณะที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 2 ใน จ.สมุทรสาคร มีผลกระทบต่อสถานการณ์ยอดขายที่ทำได้น้อยลง สำหรับ MAKRO มี SSSG ในปี 4Q63 ที่ +0.6%YoY และทั้งปี 2563 +1.9%YoY
อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 มองว่าจะยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปยัง SSSG ใน 1Q64 ของ 7-11 ที่ยังเป็นลบได้ แต่จะพลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้งใน 2Q64 จากฐานต่ำเนื่องจาก SSSG 2Q63 ติดลบสูงถึง 20%YoY ผลจากการล็อกดาวน์
ทั้งนี้ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจากการมี Tesco หยวนต้าเริ่มเห็นการปรับเปลี่ยน rebrand จาก Tesco Lotus เป็น Lotus’s ขณะเดียวกัน ทาง 7-11 เริ่มมีการรับคำสั่งซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้นในสินค้าที่ไม่ได้มีอยู่เพียงร้านค้าสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งสามารถสั่งสินค้าได้หลากหลายรูปแบบและให้ความสะดวกในการจัดส่งและรับสินค้า ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงลูกค้าด้วยสาขากว่า 1.2 หมื่นสาขาที่ 7-11 มีอยู่
คำแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว” คาดประกอบการที่ออกมาดังกล่าวกรณีรวมค่าใช้จ่ายจากการเข้าร่วมลงทุนใน Tesco Lotus ถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาด และความกังวลเรื่องภาระหนี้ลดลง โดย ณ สิ้นปี 2563 CPALL มีสัดส่วน Net-debt/ Equity 1.62x ยังอยู่ใน Debt Covenants ที่ 2X แม้ว่าระยะสั้นผลประกอบการและ SSSG ใน 1Q64 อาจยังไม่สดใส
อย่างไรก็ดี ใน 2Q64 จะเห็นฟื้นตัวทั้งจาก SSSG และผลประกอบการใน 2Q64 สำหรับในช่วง 2H64 กรณีการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายและวัคซีนใช้ได้ผลจะเป็นปัจจัยหนุนการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มการเติบโต โดยเราประมาณการกำไรปกติของปี 2564 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 12%YoY ราคาเหมาะสมปี 2564 ที่ 77.50 บาท (อ้างอิงวิธี DCF, WACC 6%)