TTA ตั้งเป้ารายได้ปีนี้สูงกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท หรือโต 12-15% รับธุรกิจเดินเรือฟื้น วางงบลงทุน 1.5-2 พันล้านบาท ใช้ซื้อเรือ 2-3 ลำ และขยายสาขาร้านพิซซ่า ฮัท และร้านทาโก้เบลล์ มองขนส่งทางเรือ-บริการนอกชายฝั่ง ฟื้นยาวถึงปี 66 ช่วยหนุนรายได้ ด้านโบรกฯ มองดัชนีค่าระวางเรือเฉลี่ย กำลังเข้าสู่ช่วง High Season เหมาะกับการทยอยสะสมหุ้นเรือเทกองเพื่อเก็งกำไรรอบสั้น ให้ราคาเหมาะสมเบื้องต้น 9 บาท
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 12-15% ทะลุ 15,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ และกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ส่วนกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรก็มีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือคาดว่าจะเติบโตตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 63 ต่อเนื่องถึงปี 66 เนื่องจากคาดการณ์ว่าปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองจะฟื้นตัวและเติบโตได้ถึง 4.4% ในหน่วยตันไมล์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าปี 62 และตั้งแต่ต้นปี 64 อัตราค่าระวางเรือยืนระดับสูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน และเมื่อเร็วๆ นี้ขึ้นไปสูงกว่า 12,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน โดยอัตราค่าระวางเรือจะยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง
"ในกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือมีแผนขอซื้อเรือเพิ่มอีก 2-3 ลำ และคาดว่าจะได้รับอัตราค่าระวางเรือในระดับที่สูง ซึ่งบริษัทฯจะมีรายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้น" นายเฉลิมชัย กล่าว
ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งไม่มีแผนการนำเรือวิศวกรรมใต้ทะเลเข้าอู่แห้งในปี 64 จึงพร้อมให้บริการลูกค้าเต็มขีดความสามารถ และคาดว่าธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะฟื้นตัวดีขึ้นหากพิจารณาจากสัญญาให้บริการโครงการงานวิศวกรรมใต้ทะเลที่เรือส่งมอบ (orderbook)
ตั้งงบลงทุนปีนี้ 1.5-2 พันล้านบาท เตรียมซื้อเรือเพิ่ม-ขยายร้านอาหาร
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เตรียมไว้สำหรับการซื้อเรือเพิ่มอีก 2-3 ลำ และมีแผนจะขยายสาขาของร้านพิซซ่า ฮัท อีก 10-15 แห่ง และร้านทาโก้เบลล์ อีก 5-10 แห่ง
"ตั้งแต่ปี 59 จนถึงปี 62 บริษัทมีผลกำไรมาอย่างต่อเนื่อง แต่การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในปี 63 ทำให้บริษัทต้องกำหนดมาตรการรับมือหลายอย่างเพื่อบรรเทาผลกระทบทางธุรกิจที่เกิดขึ้น ช่วงที่เลวร้ายที่สุดของผลกระทบจากโควิด-19 น่าจะผ่านไปแล้ว จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานปกติของ TTA เริ่มฟื้นกลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 51 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 3/63 และคาดว่าจะดีต่อเนื่อง" นายเฉลิมชัย กล่าว
หยวนต้ามอง BDIเข้าสู่รอบขาขึ้นเร็วกว่าปกติ แนะทยอยสะสม
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จากบล.หยวนต้า ระบุว่า ดัชนีค่าระวางเรือเฉลี่ย (Baltic Dry Index - BDI) กำลังเข้าสู่ช่วง High Season เบาๆ ตามรอบปกติที่มักพักฐานเดือน ม.ค. ก่อนจะฟื้นกลับเดือน ก.พ. (หลังตรุษจีน) ยาวไปถึงเดือน เม.ย. แล้วพักฐานอีกครั้งเพื่อเตรียมเข้าสู่ High Season อย่างเต็มตัวในไตรมาส 3 ของทุกปี สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นรอบการค้าปกติและเป็นผลจากการ Re-Stock ของ 2 ประเทศใหญ่ทั้งจีนและอินเดีย ที่มักเร่งนำเข้าเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคในช่วงเทศกาลสำคัญ
โดยจีนจะเร่งนำเข้าช่วงปลายปีถึงต้นปีถัดไปเพื่อรองรับเทศกาลตรุษจีน ส่วนอินเดียและประเทศอื่นๆ จะเร่งนำเข้าในไตรมาส 3 เพื่อรองรับเทศกาล Diwali และ High Season ของการจับจ่ายใช้สอยในไตรมาส 4 จึงทำให้ BDI มักขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีในปลายไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงต้นไตรมาส 4
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน สำหรับปีที่ปกติเราสามารถนำปัจจัยฤดูกาลข้างต้นมาจับจังหวะการลงทุนเป็นรอบๆ ได้ โดยซื้อในช่วงก่อนตรุษจีน และขายในช่วง เม.ย.-พ.ค. แล้วกลับเข้าซื้ออีกครั้งในช่วง มิ.ย.
ช่วงเวลาะสะสมหุ้นเรือเทกอง ให้ราคาเบื้องต้น TTA 9 บาท/หุ้น
เพราะฉะนั้นช่วงเวลาปัจจุบันจึงเหมาะกับการทยอยสะสมหุ้นเรือเทกองเพื่อเก็งกำไรรอบสั้น ทั้ง TTA (ราคาเหมาะสมเบื้องต้น 9.00 บาท) และ PSL (แนวต้านทางเทคนิค 8.50-9.00 บาท) โดยมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากแนวโน้มผลประกอบการ 4Q63 ที่จะพลิกกลับมามีกำไร และ BDI ที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าทุกปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของอินเดีย ซึ่งปัจจัยฤดูกาลค่อนข้างเอื้อต่อการฟื้นตัวของ BDI โดยจากการรวมข้อมูลในอดีต 15 ปีย้อนหลังพบว่า BDI มักปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ. เฉลี่ย 13% MoM ภายใต้ความน่าจะเป็นในการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับสูงราว 73% และมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องในเดือน มี.ค. ก่อนจะเริ่มลดความร้อนแรงลงตั้งแต่เดือน เม.ย. ไปจนถึง พ.ค.
ขณะเดียวกัน จีนมีแผนลดการผลิตเหล็กในประเทศ และหันมานำเข้าจากเหมืองต่างประเทศแทน โดยเมื่อ 29 ม.ค.64 มีการขนส่งเหล็กจากแฟริกาตะวันออกไปยังประเทศจีนผ่านบริษัท Kingho Investment Co Ltd เป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ จีนเร่งนำเข้าข้าวสาลีจากสหรัฐฯ อีก 1.3 แสนตันในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 ม.ค.64 เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ ยอดนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ถึงวันที่ 21 ม.ค.64 ครอบคลุม 81% ของข้อตกลงการค้าระหว่างปี 2563-2564 แล้ว
ขณะที่อินเดียเร่งส่งออกเหล็ก จากคาดการณ์การปรับขึ้นภาษีส่งออกของรัฐบาล ทำให้เกิดการดึงเรือเทกองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปให้บริการแถบเอเชียใต้ที่มีค่าระวางสูงกว่าราว $150-200/ตัน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าถ่านหินของจีน จากออสเตรเลียไปเป็นอินโดนีเซียและรัสเซียแทน ส่งผลให้ BDI กระชากตัวขึ้นในช่วงสั้นระหว่างกลางเดือน ธ.ค.63 ถึงกลางเดือน ม.ค.64
อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของอินเดีย ทำให้ต้องนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น โดยตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 (เม.ย.64-มี.ค.65) ไว้สูงถึง 2.2 ล้านล้านรูปี เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีก่อนหน้า ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในช่วง 5 ปีข้างหน้าสูงถึง 1.97 ล้านล้านรูปี ทำให้อินเดียมีโอกาสนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการก่อสร้างมากขึ้น
โดยสรุป กลุ่มเรือเทกองมีปัจจัยหนุนจาก (1) คาดการณ์ผลประกอบการ 4Q63 ที่จะพลิกกลับมามีกำไรทั้ง TTA และ PSL (2) แนวโน้ม BDI ที่กำลังเข้าสู่รอบการฟื้นตัวจากความต้องการของจีนและอินเดียที่เร่งตัวขึ้น และการปรับเปลี่ยนเส้นทางเรือที่มีระยะทางไกลขึ้น (3) อุปทานเรือใหม่ยังเพิ่มขึ้นไม่ทัน เพราะราคาเหล็กที่อยู่ในระดับสูง (4) Valuation ยังไม่แพง โดย PBV ของ TTA และ PSL อยู่ที่ 0.6 เท่า และ 1.1 เท่าตามลำดับ เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มเรือเทกองในภูมิภาคที่ 1.5-2.0 เท่า