วายแอลจีเผยทองพุ่งรับศักราชใหม่ เทรนด์ขาขึ้นชัดเจนทั้งระยะกลาง-ระยะยาว มีลุ้นแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุได้ 2 ปัจจัยหนุน ทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าสวนทางค่าเงินปอนด์ที่แข็งค่าหลังอังกฤษบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป และการระบาดของโควิด-19 ยังน่าห่วง ส่งผลสหรัฐฯ อนุมัติมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังรอบใหม่ หนุนทองคำแข็งแกร่งรับคาดการณ์เงินเฟ้อที่พุ่งสูง ขณะที่กองทุนทองคำ SPDR เริ่มกลับเข้าซื้อทองคำส่งสัญญาณตลาดทองคำสดใส
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า หลังจากตลาดทองคำเปิดซื้อขายเต็มรูปแบบในปี 2564 ทองคำเปิดตลาดเคลื่อนไหวในแดนบวก และสามารถผ่านยืนเหนือ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้เทรนด์ระยะกลางสดใสหลังราคาทะลุกรอบไซด์เวย์ดาวน์ ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 5 เดือน ส่วนระยะยาวนั้นยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป แม้ว่าช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2563 ราคาทองคำจะปรับลดลงไปบ้าง ซึ่งช่วงนั้นกองทุน SPDR ได้ทยอยขายทองคำออกมาบางส่วน แต่ล่าสุดช่วงใกล้สิ้นปี 2563 กองทุน SPDR ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำเข้าพอร์ตอีกครั้ง จึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดทองคำ อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นมาของราคาทองในช่วงนี้มาจากปัจจัยหลัก 2 ปัจจัย ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่ล่าสุด ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ได้ลงนามอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังรอบใหม่มูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงมีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็น่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 3 ออกมาเช่นกัน
ส่วนปัจจัยที่ 2 ที่ส่งผลให้ราคาทองคำขยับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญคือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่แข็งค่าหลังจากที่อังกฤษและสหภาพยุโรปสามารถตกลงมาตรการด้านการค้าลุล่วงจากกรณี BREXIT นอกจากนี้ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังของสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อให้การคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และทองคำจึงเป็นทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดี ทั้งนี้ เมื่อปี 2563 เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 7% ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% โดยในปีนี้นักวิเคราะห์จากต่างประเทศยังได้คาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศได้ลดสัดส่วนการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ และได้หันไปถือครองเงินสกุลอื่นรวมถึงทองคำเพิ่มขึ้น ส่วนระยะยาวนั้นทองคำยังเป็นขาขึ้นอีก 1-2 ปี เพราะอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับต่ำถึงปี 2566
สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองในช่วงนี้แม้ทิศทางจะเป็นขาขึ้น แต่อาจจะมีการขายทำกำไรออกมาในบางช่วง โดยนักลงทุนสามารถเข้าทยอยเข้าซื้อสะสมได้ แต่เน้นทำกำไรระยะสั้นเป็นรอบๆ แนะนำจับตาแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,965 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากผ่านได้จะเพิ่มโอกาสที่ราคาจะแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สามารถเข้าซื้อเมื่อย่อตัวที่แนวรับ 1,921 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ในบริเวณ 1,907 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำแท่งสามารถดูรายละเอียดได้ทาง www.ylgbullion.co.th หรือโทร.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2687-9888 และผ่านทางเพจเฟซบุ๊กของบริษัท https://www.facebook.com/YLGGroup และหากสนใจการลงทุนทองคำในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Gold Online Futures และ Gold Futures) สามารถติดต่อได้ทาง www.ylgfutures.co.th หรือโทร.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2687-9999