KBank Private Banking เผยผลงานปีนี้พอร์ตรวมมีผลตอบแทน 3% ขณะที่พอร์ต K-Alpha เติบโต 9% พร้อมประกาศสานต่อกลยุทธ์ 3S ยึดแนวคิดลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainability) เปิดมิติใหม่ของกิจกรรมสาธารณกุศล (Sharing) เสริมโอกาสลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตทั่วโลก (New S-Curve) ในปี 2564 ตั้งเป้า AUM โต 10-15%
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า การดำเนินงานของกลุ่ม Private Banking ในปีนี้ปัจจุบันธนาคารมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอยู่ที่ระดับ 800,000 ล้านบาท มีจำนวนลูกค้าราว 12,000 ราย เป็นส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุน 540,000 ล้านบาท หรือประมาณ 67% มีผลตอบแทนโดยรวมที่ 3% ขณะที่พอร์ต K-Alpha ควบคู่กับพอร์ต Aspiration ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives) และเน้นการลงทุนระยะยาว โดยในปี 2563 นี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 9% ซึ่งธนาคารยังแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การลงทุนดังกล่าวอยู่ รายได้ค่าธรรมเนียมจากการลงทุนนั้นเติบโตได้เพียงเล็กน้อยที่ 0.1% เนื่องจากการชะงักงันในช่วงสถานการณ์โควิด-19
"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ราคาหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงในช่วงต้นปี ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จนหลายตลาดปรับตัวสูงขึ้นกว่าก่อนการแพร่ระบาดด้วยซ้ำ เช่น ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารก็ยังเชื่อมั่นในกลยุทธ์การลงทุนด้วยหลักการกระจายความเสี่ยงทั้งใน Core และ Satellite ซึ่งหลากหลายกองทุนที่ธนาคารแนะนำสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น เช่น กองทุน K-GA กองทุน K-CCTV ที่เป็นการรวมหุ้นจีน A-shares กองทุน K-CHANGE ที่เป็นกองทุนรวมหุ้นที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก และกองทุน K-HIT ที่รวมหุ้น 4 Mega trends เป็นต้น
นอกจากนี้ ตลอดปีนี้ธนาคารยังคงสานต่อกลยุทธ์ 3S ต่อเนื่อง โดย S แรกคือ Sustainability ผ่านการแนะนำการลงทุนด้วยเป้าหมายที่มีความยั่งยืน ทั้งการมองหาและริเริ่มการลงทุนที่สร้างผลกระทบในเชิงบวก (Positive Investment) ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม S ที่สอง คือ Sharing เพราะธนาคารเชื่อว่าบุคคลและสังคมต้องเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ธนาคารจึงร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรสาธารณกุศล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุน และสร้างความกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างยั่งยืน และ S ที่สาม คือ New S-Curve โดยธนาคารเปิดโอกาสต่อยอดความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้า เช่น การลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตที่ต่างประเทศผ่านทางกองทุนรวม"
สำหรับบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารสินทรัพย์ครอบครัว (Family Wealth Planning Service) ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าของธนาคารในเชิงลึกและเปิดโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยในปี 2564 มีแผนที่จะเพิ่มบริการในเรื่องการช่วยจัดตั้งสำนักงานครอบครัว (Family Office) และงานด้านสาธารณกุศล (Philanthropy) รวมถึงการจัดกิจกรรมการลงทุนตามความชอบ (Passion Investment) เช่น การสะสมงานศิลปะ พระเครื่อง เป็นต้น นอกจากนี้ บริการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Advisory Service) ที่ให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน จากที่ได้พูดคุยกับลูกค้าที่กังวลเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พบว่ากว่า 90% เป็นที่ดินที่ยังรอ และยังไม่พร้อมพัฒนา ซึ่งทำให้ลูกค้าต้องเสียภาษีในอัตราสูง ธนาคารจึงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ Land Loan for Investment จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของธนาคารได้ โดยปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 100 รายให้ความสนใจ โดยธนาคารอนุมัติวงเงินไปแล้วประมาณ 9,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการอีกกว่า 5,000 ล้านบาท โดยคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะได้ยอดประมาณ 15,000 ล้านบาท และในปีหน้าก็ตั้งเป้าหมายในระดับเดียวกัน
"นอกจากนี้ ปี 2563 ธนาคารยังสานต่อการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลที่ครบถ้วนที่สุดในประเทศไทย ความภูมิใจสูงสุดของธนาคารในปีนี้ก็คือการเป็นผู้ให้บริการไพรเวทแบงกิ้งที่ได้รับรางวัลมากที่สุด รวม 15 รางวัล จาก 9 สถาบันระดับสากลทั่วโลก เช่น รางวัล Best Private Bank ของประเทศไทย จากหลายสถาบัน เช่น The Asset Triple A, PWM/The Banker และ Finance Asia รวมถึงรางวัล Best Private Bank for Portfolio Management Technology ของภูมิภาคเอเชีย จาก PWM ที่สะท้อนความเป็นผู้นำระดับเอเชีย ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการพอร์ตการลงทุนให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ธนาคารยังได้รับ Thailand ภ Best for ESG (Environment Social Governance) จาก Asia Money ซึ่งถือว่า ธนาคารเป็นผู้นำในเมืองไทยที่เน้นมิติในด้านสิ่งแวดล้อม และการดำเนินการอย่างโปร่งใส" นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย
นายจิรวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับในปีหน้าเราตั้งเป้าหมายการเติบโตของ AUM ไว้ในระดับปกติที่ประมาณ 10-15% ต่อปี ซึ่งเราจะทำทั้งด้านหาลูกค้าใหม่ และเพิ่มสัดส่วนจะลูกค้าเก่า อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มมีวัคซีนโควิด-19 ออกมาบ้างแล้วแต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง โดยมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นโลกอาจจะไม่ดีเท่าปีนี้ทำให้อัตราตอบแทนของกลุ่มที่รับความเสี่ยงสูงได้อาจจะชะลอลง จึงต้องเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม มีแนวโน้มดี รวมถึงเลือกผู้บริหารพอร์ตที่ถูกต้องด้วย เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงอย่างต่อเนื่อง