xs
xsm
sm
md
lg

TerraBKK เผยผลสำรวจ “The Most Powerful Brand 2020” แสนสิริแชมป์ 3 สมัย-ศุภาลัย ดีทุกระดับ-พฤกษา เข้าถึงได้ง่าย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เว็บไซต์ TERRABKK.com เปิดผลวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคโควิด-19 พบ 3 พฤติกรรมใหม่ที่น่าสนใจ ชี้ช่วงวิกฤตลูกค้ายอมจ่ายเพิ่ม 20-30% เพื่อซื้ออสังหาฯ ที่มีความน่าเชื่อในแบรนด์ เผย “แสนสิริ” คว้ารางวัล “The Most Powerful Brand 2020” รักษาแชมป์ 3 ปีซ้อน ขึ้นแท่นแบรนด์อสังหาฯ ในฝันที่คนส่วนใหญ่อยากเป็นเจ้าของ ขณะที่ "ศุภาลัย" ได้รับน่าเชื่อในด้านคุณภาพ ดีขึ้นทุกระดับ "เอสซี" แบรนด์ที่โดดเด่นในด้านออนไลน์ "พฤกษา" เข้าถึงได้ง่าย เรียบง่าย

น.ส.สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์ Terra BKK.com สำหรับค้นหาบ้าน-คอนโดฯ พร้อมให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาฯ ทุกประเภทอย่างเจาะลึก กล่าวว่า ถ้าเราสามารถผ่านพ้นวิกฤตได้ เราจะมีภูมิต้านทานได้ ซึ่งภาพรวมต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น พบเห็นลูกค้ามีการสำรวจข้อมูลไว้ในใจก่อนแล้ว ทำให้แนวโน้มการเข้าเยี่ยมชมโครงการจะลดลง แต่จะเลือกเฉพาะโครงการที่ต้องการ ซึ่งจะมีการเข้าชมโครงการเหลือประมาณ 3 โครงการ ซึ่งผลจากโควิด-19 ลูกค้าจะร้องขอเรื่องพื้นที่สีเขียวมากขึ้น ขณะที่ Gen C จะมองในเรื่องของแบรนด์ ที่หมายถึงคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันจะสามารถจับต้องได้ และเป็นหนึ่งในต้นทุนที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะต้องคำนึงถึงเช่นกัน

"แม้วิกฤตโควิด-19 ในไทยจะมีทิศทางดีขึ้น แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้คนส่วนใหญ่มีความกังวลต่อรายได้ที่ไม่มั่นคง และเชื่อมั่นว่าในช่วง 1 ปีข้างหน้า ภาพรวมเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น"


และจากผลงานวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ และภาคสนาม จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ จำนวน 1,581 คน ทำให้เราพบข้อมูลสำคัญ 3 หัวข้อที่น่าสนใจ คือ

คุณค่าของแบรนด์ คือ สินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมุมมองด้านการอยู่อาศัยในอนาคต ที่ “บ้าน” จะไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีพื้นที่รองรับทั้งการอยู่อาศัย การทำงานในบ้าน และรองรับไลฟ์สไตล์อื่นๆ ด้วย โดยผลวิจัย พบว่า หากมีการซื้ออสังหาฯ ในช่วงนี้ ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินมากขึ้น 20-30% เพื่อซื้อบ้าน-คอนโดฯ จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับโครงการอื่นในทำเลเดียวกัน เพราะมองว่าสินทรัพย์ที่มีแบรนด์ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ขายต่อได้อย่างรวดเร็วในราคาที่พึงพอใจได้ในอนาคต และการได้อยู่อาศัย คือ ผลกำไรของชีวิตแล้ว

ผู้ซื้อบ้านช่วงนี้เป็นผู้มีความจำเป็น ดังนั้น “บริการ” จากพนักงานขายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก พฤติกรรมการเลือกซื้ออสังหาฯ ในช่วงวิกฤตมีความต่างไปจากเดิม โดย Customer Journey ของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะมองหาโครงการจากแบรนด์ที่มีความคุ้นเคย และมีตัวเลือกในใจที่น้อยลง เพื่อค้นหาข้อมูลโครงการที่สนใจในระบบออนไลน์อย่างละเอียด ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการจริง

ดังนั้น การส่งมอบบริการที่ดีผ่านพนักงานขาย ตั้งแต่การให้ข้อมูล พาเยี่ยมชมโครงการ การหาสินเชื่อที่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการช่วยแก้ไขปัญหา และติดตามผลตอบรับลูกค้า เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์ ความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดีในช่วงวิกฤต สู่ความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต

มุมมองลูกค้า “โปรโมชันลด-แลก-แจก-แถม อยู่ฟรี และมาตรการช่วยเหลือลูกค้า” ของ Developer คือ การใส่ใจ และวิสัยทัศน์ที่ดีของผู้บริหาร จากวิกฤตทำให้แบรนด์อสังหาฯ ส่วนใหญ่เกิดการปรับตัวครั้งสำคัญ แบรนด์ต้องเร่งจัดโปรโมชันต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งแคมเปญส่วนลด ของแถม อยู่ฟรี ช่วยผ่อน กลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์นั้นๆ ทำให้สินค้าไม่เสียราคา ขณะที่ลูกค้าก็เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารผ่านแคมเปญต่างๆ ที่ออกมาช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ได้โอกาสซื้อสินค้าคุณภาพดี ทั้งนี้ การแจกของที่มีมูลค่าสูง เช่น ทองคำ สมาร์ทโฟน สลากออมทรัพย์ เป็นโปรโมชันที่ลูกค้าชื่นชอบในช่วงที่เกิดวิกฤต 

“อย่างไรก็ดี การพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเทรนด์ที่คนส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาผสมผสานสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงต้องมีการพัฒนางานดีไซน์-สีสัน แบบใหม่ให้แก่ทุกโครงการ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ และในอนาคตผู้บริโภคส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภค Generation ใหม่ ซึ่งการตอกย้ำให้ลูกค้าสร้างการจดจำต่อแบรนด์ จะช่วยสร้างความภักดีได้เป็นอย่างดี” น.ส.สุมิตรา กล่าว


โดยผลวิจัย “The Most Powerful Brand 2020” จากการเก็บข้อมูลแบบสอบถามออนไลน์ และภาคสนามจากกลุ่มตัวอย่างที่กล่าวไปข้างต้น พบว่า แบรนด์แสนสิริ ยังคงรักษาแชมป์ Real Estate : The Most powerful brand 2020 ได้เป็นปีที่ 3 โดยแสนสิริ ได้ Brand Powerful Score อันดับที่ 1 คิดเป็น 66% จากผู้ตอบแบบสอบถามที่รู้จักแบรนด์แสนสิริ เป็นอย่างดี (คำนวณจาก Performance 7 ด้าน คือ Brand love, Brand Famous, Unique, Dynamic, Trusted, Familiarity, Meet Needs)

โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 90% รู้จักแบรนด์แสนสิริเป็นอย่างดี และมองว่าแบรนด์แสนสิริ เป็นผู้นำในหลายด้าน เช่น มาตรฐานงานก่อสร้าง บริการหลังการขายที่ดี มีคุณภาพ การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ออกแบบเพื่อผู้สูงวัย และนวัตกรรมสำหรับการอยู่อาศัย และยังเห็นว่าแสนสิริ เป็นแบรนด์ที่เข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัย-นักลงทุน สะท้อนตัวตนเจ้าของ และภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ

ซึ่งปีนี้ยังมี 2 แบรนด์ที่มีความโดดเด่น น่าเชื่อถือ ขึ้นแท่นรางวัลแบรนด์ผู้ท้าชิงแห่งปี 2563 คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) จากผลวิจัยที่แสดงถึงความโดดเด่นในด้าน Brand Trusted หรือแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค คุ้มค่า คุ้มราคา เข้าถึงง่าย และมีการออกแบบรองรับผู้สูงอายุ

"ภาพของศุภาลัย จะเห็นว่ามีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่คุณลุง ที่สร้างโครงการที่อยู่อาศัยให้แก่คนรุ่นนี้ คะแนนของศุภาลัยดีขึ้นเช่นกัน โดยทุกหัวข้อ ศุภาลัยจะมีคะแนนติดอยู่ใน 5 อันดับ ขณะที่บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในอันดับ 1 ในด้านแบรนด์ เข้าถึงได้ง่าย เรียบง่าย และอันดับ 2 แบรนด์เด่นในเรื่องรักโลกใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใส่ใจชุมชนคนรอบข้าง ส่วนแสนสิริ ในเรื่องการเข้าถึงได้ง่าย จะเป็นแบรนด์ในอันดับ 5 ทั้งนี้ ในแต่ละแบรนด์จะมีความเป็นผู้นำในแต่ละโปรดักต์ เช่น แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้นำบ้านเดี่ยว พฤกษา ผู้นำทาวน์โฮม และผู้นำคอนโดมิเนียม คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เป็นต้น" 

ส่วน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC asset) จากผลวิจัยที่แสดงถึงความโดดเด่นในด้าน Brand Differentiate หรือแบรนด์ที่โดดเด่นในโลกออนไลน์ มีความแตกต่างไม่หยุดนิ่ง หรูหรามีระดับ ดูอินเตอร์ และภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ

นอกจากนี้ ในสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ ผู้นำองค์กรมีบทบาทในการเป็นสื่อสารกับผู้บริโภค โดยจะเห็นได้ว่า ทั้งบริษัท แสนสิริ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ศุภาลัย และพฤกษาฯ มีการนำเสนอข้อมูลออกสู่กลุ่มลูกค้าและผ่านสื่อมวลชน

ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เมื่อถามถึงภาพรวมเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม กว่า 81% บอกว่า โควิด-19 มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ในช่วงนี้ โดย 3 อันดับแรก บอกว่า ไม่มั่นใจกับสภาพเศรษฐกิจ 69% ความมั่นคงทางรายได้และการงาน 67% และมีความกังวลกับโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 40%

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค แยกตามอาชีพ พบว่า กลุ่มเจ้าของกิจการ (พนง.น้อยกว่า 10 คน) ฟรีแลนซ์ ค้าขายขนาดเล็ก พนักงานเอกชน แม่บ้าน-พ่อบ้าน เจ้าของกิจการ (ไม่มี พนง.) มีความไม่เชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ขณะที่ในอีก 1-5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคทุกกลุ่มตอบว่าเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น อย่างไรก็ดี สำหรับกลุ่มเจ้าของกิจการ (ไม่มีพนักงาน) เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่เห็นว่าช่วงนี้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ รถยนต์

สำหรับผู้บริโภคที่มีแผนซื้อบ้านใหม่ หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ระบบรักษาความปลอดภัย บริการหลังการขาย พื้นที่ใช้สอยภายในที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น

ด้านเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต 5 อันดับแรก ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 72% เห็นว่าควรมีความคุ้มค่า คุ้มราคา มาตรการรักษาความปลอดภัย 69% การประหยัดพลังงาน 56% การออกแบบพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์ Work From Home 51% และออกแบบที่เน้นความสะอาด ถูกหลักอนามัย 50%


กำลังโหลดความคิดเห็น