"เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (KEX)" กำหนดเคาะช่วงราคาไอพีโอ 25-28 บาท/หุ้น หลัง ก.ล.ต.อนุมัติไฟลิ่ง พร้อมเปิดให้รายย่อยจอง 8-14 ธ.ค. ส่วนสถาบันจอง 16-18 ธ.ค.นี้ มั่นใจเข้าเทรดทันปลายเดือนนี้ ที่ปรึกษาฯ มั่นใจความต้องการล้นถึง 10 เท่า ขณะที่รายได้-กำไร 3 ปี (60-62) เติบโตต่อเนื่อง ส่วน 9 เดือนปีนี้กำไรโต 14%
น.ส.วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) มีผลใช้บังคับแล้ว
กำหนดช่วงไอพีโอ 25-28 คาดเทรดส่งท้ายปีนี้
ทั้งนี้ ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 25-28 บาทต่อหุ้น จากนั้นจะสำรวจความต้องการจองซื้อหุ้น IPO ของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ซึ่งคาดว่าจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย 15 ธ.ค.นี้ โดยจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมประมาณ 7,500-8,400 ล้านบาท
โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยจากการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันที่ผ่านมา KEX ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมียอดจองซื้อจากนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) มากกว่า 10 เท่าของจำนวนที่จัดสรรไว้ ซึ่งทำให้ KEX เป็นบริษัทจัดส่งพัสดุด่วนรายแรกในไทยที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจที่เป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ จะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 8, 9 และ 14 ธ.ค.นี้ ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ จะมีการคืนเงินค่าส่วนต่างแก่ผู้จองซื้อทุกรายหลังสิ้นสุดการเสนอขาย ส่วนนักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 16-18 ธ.ค.นี้ ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย และคาดว่าจะนำ KEX เข้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้ในปลายเดือน ธ.ค.นี้
ผู้บริหารประกาศใช้กลยุทธ์ “Kerry Express Everywhere” ขยายบริการ
นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KEX เปิดเผยว่า การเติบโตของเศรษฐกิจใหม่โดยเฉพาะโซเชียลคอมเมิร์ซและอีคอมเมิร์ซสร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างมหาศาลให้แก่ภาคโลจิสติกส์ เพราะถือเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ขายกับผู้บริโภค ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากปริมาณรวมของพัสดุที่จัดส่งประจำปีของบริษัทฯ มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 57 ถึงปี 62 เท่ากับ 134.9% ซึ่งทำให้เห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
เคอรี่ เอ็กซ์เพรส จึงพร้อมรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ด้วยเครือข่ายจุดให้บริการที่ครอบคลุม กว่า 15,000 จุด ศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง และพนักงานมากกว่า 18,000 คน เรายังคงมุ่งมั่นขยายการบริการให้ครอบคลุมถึงคนไทยทั่วประเทศตามกลยุทธ์ “Kerry Express Everywhere”
ที่ปรึกษามั่นใจนักลงทุน ตอบรับท่วมท้นสูงถึง 10 เท่า
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า มีความมั่นใจกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ KEX เนื่องจากเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยที่มีแบรนด์แข็งแกร่งเป็นที่รู้จักและยอมรับจากผู้ใช้บริการ รวมถึงมีรูปแบบธุรกิจที่มั่นคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
และล่าสุด ยังได้รับการตอบรับอย่างท้วมท้นจากกลุ่มนักลงทุนหลักแบบเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) สูงถึงประมาณ 10 เท่า ของจำนวนที่จัดสรร แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสเติบโตในอนาคต
รายได้-กำไร 3 ปีโตต่อเนื่อง 9 เดือนปีนี้กำไรโต 14%
ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ กำไรของเคอร์รี่ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปี 2560 รายได้ 6,626 ล้านบาท กำไร 730 ล้านบาท ปี 2561 รายได้ 13,565 ล้านบาท กำไร 1,185 ล้านบาท ปี 2562 รายได้ 19,781 ล้านบาท กำไร 1,328 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าทั้งรายได้และกำไรของ KEX เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง คือรายได้เพิ่มขึ้นราว 105% ในปี 61 และ 46% ในปี 62 ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 62% ในปี 61 และ 12% ในปี 62
สำหรับงบ 9 เดือนแรกปีนี้ KEX มีรายได้ 14,655 ล้านบาท โตเพียง 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 14,688 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9 เดือนปีนี้อยู่ที่ 1,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 900 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีรายได้ที่เริ่มทรงตัว แต่ยังสามารถบริหารต้นทุนได้ดี