เมืองไทย แคปปิตอล ฮอต! นักลงทุนรุมซื้อหุ้นกู้มูลค่า 5 พันล้าน 2 ชุด อัตราดอกเบี้ย 3-3.40% ขายเกลี้ยงวันแรก สะท้อนความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี ขณะที่สภาพคล่องเพิ่มขึ้น พร้อมนำเงินไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิม และใช้เป็นทุนหมุนเวียน ผู้บริหารประเมินโค้งสุดท้ายปีนี้สดใส หนุนผลงานปีนี้ทะลุเป้าหมายโต 20-25% พร้อมขับเคลื่อนเข้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแผนระยะกลาง 3 ปีถัดไป
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่า 5 พันล้านบาท แบ่งเป็น 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 11 เดือน 7 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2565 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี
ขณะที่ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 11 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 อัตราดอกเบี้ย 3.40% ต่อปี โดยได้เสนอขายเมื่อวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2563 ผลปรากฏว่า นักลงทุนให้การตอบรับอย่างคึกคัก สามารถขายได้ครบทั้งจำนวนตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรอยู่ที่ BBB+ และหุ้นกู้จัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB+
"ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อ MTC เป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ชุดเดิมในต้นปีหน้า และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเสนอขายส่งผลให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังคงมีทิศทางที่ดี และจะช่วยสนับสนุนให้ผลงานในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 20-25% โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นกลยุทธ์ไปที่ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การจัดการต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยรักษา Spread ให้คงที่ โดยเงินทุนใหม่ของบริษัทฯ บางส่วนมาจากเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และบางส่วนมาจากการออกหุ้นกู้มีต้นทุนที่ถูกลงกว่าหุ้นกู้เดิม และคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ภายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากความต้องการในการลงทุนในบริษัทฯ ที่มีเรทติ้งระดับ BBB+ ในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ คาดหวังว่า ต้นทุนทางการเงินในช่วงปลายปีนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว
ขณะที่การคุมคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 9 (TFRS9) ให้เหมาะสม และเพียงพอต่อความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ โดยจะคุมหนี้เสียไว้ไม่เกินระดับ 2% ตามเป้าที่วางไว้ก่อนหน้านี้ ตลอดจนการเร่งผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อยกระดับ Customer Experience เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวและเพื่อสร้าง Competitive Edge เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ ที่สำคัญ
อนึ่ง ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/2563 มีกำไรสุทธิ 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.07% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,080 ล้านบาท และยังคงทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดสินเชื่อคงค้าง 66,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น คิดเป็น 16.22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 57,647 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อเติบโตได้ดีเนื่องจากความต้องการฟื้นตัวหลังเข้าสู่การเปิดเทอมใหม่ และฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกร ขณะที่คุมต้นทุนการเงินได้ดี เดินหน้าเพิ่มสาขาเป็น 4,798 สาขา ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 10,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.43% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้สุทธิเท่ากับ 9,233 ล้านบาท