"พีดี เฮ้าส์" ประเมินตลาดรับสร้างบ้านยังคงชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2564 เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกมากระตุ้น คาดมูลค่าตลาดหดตัวเหลือ 10,000 ล้านบาท จากปีนี้ 12,000 ล้านบาท จับตาผู้เล่นรายใหม่-รายย่อย-โบรกเกอร์ เน้นทำตลาดจูงใจผ่านตลาดออนไลน์ ไร้สังกัด ปิดบังรายละเอียดให้บริการ พร้อมปรับตัวสู้โควิด-19 จัดองค์กร เล็งปีหน้าผุดสาขาทำเลใหม่สร้างยอดขาย เผยตลาดรับสร้างบ้าน 10 ล้านบาท ต่างจังหวัดดีมานด์แข็งแกร่ง
นายพิศาล ธรรมวิเศษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจรับสร้างบ้าน บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในปี 2563 ว่า ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีปัจจัยเรื่องโรคระบาด การเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงภัยธรรมชาติ โดยประเมินว่าตลาดรับสร้างบ้านปีนี้ มูลค่ารวมเติบโตลดลง 20% แยกเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กำลังซื้อปรับตัวลดลงเฉลี่ย 25% โดยกลุ่มราคาบ้าน 2-5 ล้านบาท ลดลงสูงถึง 40% กลุ่มราคาบ้าน 5-10 ล้านบาท ลดลง 25% และกลุ่มราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไปปรับลดลง 15%
ส่วนตลาดต่างจังหวัดนั้น คาดว่าปีนี้กำลังซื้อปรับตัวลดลงเฉลี่ย 10% โดยกลุ่มราคาบ้าน 2-5 ล้านบาท ปรับลดลง 20% กลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท ลดลง 15% แต่กลุ่มราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป สวนทางกับตลาดปรับเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากพบว่า ธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับการเกษตร เจ้าของโรงสี ธุรกิจโลจิสติกส์ ยังมีกำลังซื้อที่สูง จึงได้ตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน ซึ่งลูกค้ารับสร้างบ้านของพีดี เฮ้าส์ ในปี 2563 จะมีโครงสร้างในเรื่องการก่อหนี้สร้างบ้านน้อยลง มีความพร้อมในด้านการเงิน โดยจะใช้เงินสดในการปลูกสร้างบ้านถึง 80% ใช้บริการสินเชื่อกับธนาคารเพียง 20% ต่างจากในปีที่ผ่านมา สัดส่วนขอสินเชื่อกับธนาคาร 60% และใช้เงินสดเพียง 40%
"แม้ภาพรวมดูจะชะลอตัวลง แต่ด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้พีดี เฮ้าส์ สามารถวางกลยุทธ์รับมือกับโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขยายการรับงาน ทั้งงานออกแบบอาคาร ผ่านบริษัทในเครือ บจก.เฌอ-วาด อาคิเทค รวมถึงการรับงานอินทีเรีย แลนด์สเคป ซึ่งเราเป็นทั้งผู้ออกแบบและก่อสร้าง ยังมีการออกแบบบ้านใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า" นายพิศาล กล่าว
น.ส.ถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ฯ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในปี 2564 ว่า จะเป็นปีที่หนักพอสมควร ซึ่งชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้ จากผลกระทบจากโควิด-19 และยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาปลุกเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้น นอกจากนี้ มีเรื่องของสภาวะความไม่มั่นคงทางการเมือง รวมถึงการเข้ามาใหม่ของรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมารายย่อยและโบรกเกอร์ที่เข้ามาในตลาดรับสร้างบ้านเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่จดทะเบียนนิติบุคคล มีที่อยู่ไม่ชัดเจน มักใช้คำโฆษณาชวนเชื่อว่ารับสร้างบ้านทั่วประเทศ แต่จูงใจด้วยข้อเสนอราคาต่ำกว่าตลาดกว่า 10-15% แต่จะปกปิดรายละเอียด ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่สนใจสร้างบ้านระดับราคา 800,000-1,500,000 บาท ดังนั้น ผู้บริโภคควรระมัดระวัง และศึกษารายละเอียดการให้บริการของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ให้ดีๆ
"ลูกค้าที่ต้องสร้างบ้านชะลอการตัดสินใจออกไป แม้ตลาดยังมีความต้องการอยู่ พฤติกรรมการตัดสินใจใช้บริการสร้างบ้านใช้เวลานานมากขึ้น จากปกติใช้เวลา 6 เดือน ถึง 12 เดือน กลับตัดสินใจนานขึ้นถึงเท่าตัว กระทบต่อตลาดรับสร้างบ้าน คาดมูลค่าปรับลดลงมาอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท จากที่คาดว่าปีนี้จะมีมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท"
สำหรับแนวทางธุรกิจของพีดี เฮ้าส์ฯ ในปี 64 ในฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดรับสร้างบ้าน ได้มุ่งเน้นการให้บริการที่มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า มีการนำเสนอวัสดุก่อสร้างที่มีมาตรฐาน พร้อมทั้งการทำงานที่มีคุณภาพส่งมอบให้แก่ลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงการมุ่งสื่อสารและทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้บริโภคให้มากขึ้น ลดความสับสนลงซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน
นอกจากนี้ ทางกลุ่มได้ปรับโครงสร้างการจัดการใหม่ รับมือโควิด-19 โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม หลักๆ คือ กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน โดย ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่/ผู้ลงทุน ประกอบด้วย บริษัทในเครือ 14 บริษัท เช่น ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป (ชลบุรี) ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป (พิษณุโลก) ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป (นครราชสีมา) ดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านภายใต้ชื่อ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ หลังจากก่อนหน้านี้ ปทุมดีไซน์ฯ ได้เข้าไป Take over หรือร่วมลงทุนโดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กับแฟรนไชส์รับสร้างบ้านรายเดิม เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภายใต้ภาวะตลาดที่กำลังซื้อผู้บริโภคลดลงในปัจจุบัน รวมถึงสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนแฟรนไชส์รายใดที่แข็งแรงอยู่แล้วก็ช่วยผลักดันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
สำหรับกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มบริหารสิทธิตราสินค้าและสนับสนุนธุรกิจรับสร้างบ้าน โดย ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่/ผู้ลงทุน ประกอบด้วย บริษัทในเครือ 3 บริษัท ได้แก่ “พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ทำหน้าที่บริหารแบรนด์พีดีเฮ้าส์ให้เป็นที่รับรู้และยอมรับของผู้บริโภคยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการ พัฒนาระบบการจัดการควบคู่กันไป สำหรับ “พีดี สยามซัพพลาย แอนด์ เซอร์วิส” เป็นบริษัทในเครือที่มีภารกิจหลักคือ การสนับสนุนธุรกิจรับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ได้แก่ การรวมคำสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง และการเจรจาต่อรองกับซัปพลายเออร์ เพื่อคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพและได้ต้นทุนที่ดีที่สุด
และสุดท้าย “เฌอ-วาด อาคิเทค” ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบครบวงจร เป็นอีกหนึ่งอาวุธลับ อาวุธเสริม ในการหาลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น งานอินทีเรีย งานแลนด์สเคป นอกจากนั้น ยังมีรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ที่มีความต้องการบ้านที่เฉพาะเจาะจง รวมไปถึงร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกแบบบ้านใหม่ๆ เพื่อเสิร์ฟให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจใช้บริการสร้างบ้านกับพีดีเฮ้าส์
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรแล้ว ในแผนธุรกิจจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 4-5 แห่ง ในพื้นที่ใหม่ๆ โดยภายในปลายปี 63 จะพยายามเปิดเพิ่มให้ได้อีก 2 สาขาในจังหวัดพิจิตร และนครนายก รวมทั้งปีจะเพิ่มเป็น 26 สาขา และในปีหน้า วางเป้าเปิดอีก 4 สาขา ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุดรธานี ราชบุรี และกรุงเทพฯ โซนตะวันออก โดยเป้ายอดขายในปีหน้าจะใกล้เคียงกับปี 63 ที่มีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานรับสร้างบ้านในมือ 137 งาน มูลค่างานเฉลี่ย 7 ล้านบาทต่องาน