"ไทยโพลีคอนส์" เผยทริสฯ ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ BBB ด้วยแนวโน้ม Stable หรือคงที่ เนื่องจากธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าของ TPCH สามารถสร้างกำไรและกระแสเงินสด หนุนสภาพคล่องดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมประเมินอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีรายได้รวมแตะระดับ 6 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายปฐมพล สาวทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง) ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทฯ ที่ระดับ BBB ด้วยแนวโน้ม Stable หรือ คงที่ เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายในสัดส่วนมากกว่า 90% และนำมาซึ่งกระแสเงินสดที่มั่นคงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิต และผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งในสัญญาแต่ละฉบับมีการระบุราคาซื้อขายไว้อย่างชัดเจน
สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะมาจาก บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ TPCH ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทย่อยหลักที่สร้างกำไร โดยปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ดำเนินงานแล้ว จำนวน 7 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่ที่ 73.8 เมกะวัตต์ และกำลังเพิ่มกำลังการผลิตอีกจำนวน 32.7 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 แห่ง กำลังการผลิต 24.7 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ 1 แห่ง กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่งมีแผนจะเปิดดำเนินงานภายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และจะทำให้กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 106.5 เมกะวัตต์
นอกจากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ภายใต้แผนแล้ว ทริส เรทติ้ง ยังคาดว่าบริษัทฯ จะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อีกจำนวน 9 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 115.5 เมกะวัตต์ในปี 2565
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 6 พันล้านบาทในปี 2565 จาก 3.95 พันล้านบาทในปี 2563 โดยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าน่าจะเพิ่มขึ้นนเป็น 3.15 พันล้านบาทในปี 2565 จากประมาณ 2 พันล้านบาทในปี 2563
ขณะเดียวกัน คาดว่ารายได้จากธุรกิจก่อสร้างของบริษัทจะอยู่ในระดับ 1.8-2.8 พันล้านบาทต่อปี โดยบริษัทน่าจะได้รับงานก่อสร้างปีละ 1.5-2 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้มูลค่าประมาณ 2.13 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยประกันรายได้ในช่วงปีที่ประมาณการได้ส่วนหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง เชื่อว่าบริษัทฯ จะจัดการกับสภาพคล่องได้เป็นอย่างดีเนื่องจากมีภาระหนี้ค่อนข้างต่ำ ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีหนี้ระยะสั้นและระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า รวมกันประมาณ 1.46 พันล้านบาท โดยบริษัทมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ รวมทั้งมีเงินสดและ อื่น ๆ 453 ล้านบาท ทริสฯ คาดว่า บริษัทจะสามารถจัดการวงเงินหมุนเวียนระยะสั้น และใช้สำหรับกิจกรรมการก่อสร้างได้อีก
“เรามีความภูมิใจที่ทริสเรทติ้ง ยังคงอับดับเครดิตองค์กรไว้ที่ระดับ BBB แม้ภาวะเศรษฐกิจของไทยจะชะลอจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทฯ และเป็นการตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการเงินทุนได้อย่างเป็นระบบ และเป็นไปตามแผนที่วางไว้” นายปฐมพล กล่าว