"ทีพีไอ โพลีน" เตรียมขายหุ้นกู้วงเงินรวมไม่เกิน 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.25% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ BBB+ และแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่ (Stable) เสนอขาย 2-4 พฤศจิกายน 2563 นี้
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ TPIPLครั้งที่ 3/2563 2 ชุด มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.25 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 เสนอขายไม่เกิน 4,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.50 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 เสนอขายไม่เกิน 4,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 3,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ระดับ BBB+ และแนวโน้มอันดับเครดิต Stable
บริษัทฯ ได้กำหนดระยะเวลาในการจองซื้อหุ้นกู้ในวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2563 โดยเสนอขายแก่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป (Public Offering) จำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,000,000 หน่วย ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จองซื้อขั้นต่ำ 100 หน่วย หรือ 100,000 บาท และจองซื้อเป็นทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และได้แต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 9 ราย ได้แก่
(1) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (2) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (3) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (4) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด (5) บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) (6) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (7) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (8) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ (9) บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยผู้ที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และจองซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 9 รายข้างต้นได้
อนึ่ง TPIPL เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ในประเทศไทย โดยในงวดครึ่งปีแรกของปี 2563 (มกราคม-มิถุนายน 2563) มีรายได้รวม18,248.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,066.15 ล้านบาท โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจที่มั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)