เอสวีไอ ทุ่มเงินลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ด้านการผลิตรวมวงเงิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 670 ล้านบาท ขยายฐานการผลิตที่ประเทศสโลวะเกียและกัมพูชา รับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปพุ่ง หนุนผลงานปีนี้เติบโตตามแผน
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer : OEM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ขยายฐานกำลังการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาด COVID-19 จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ SVI เดินหน้าลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากฐานการผลิตที่กระจายอยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อที่ดินและอาคารผลิต เนื้อที่รวม 7,300 ตารางเมตร ในประเทศออสเตรีย คิดเป็นจำนวน 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 205 ล้านบาท และจะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 465 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายพื้นที่โรงงานที่ประเทศสโลวะเกียอีก 4,500 ตารางเมตร จากเดิมมีพื้นที่ 7,640 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนในการกระบวนการผลิตสูง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปใช้ในอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารคมนาคม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรกของปี 2564
นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนขยายพื้นที่ผลิตสินค้าอีก 10,000 ตารางเมตร ในโรงงานประเทศกัมพูชา จากเดิมมีพื้นที่ 9,200 ตารางเมตร เพื่อผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับการสื่อสาร คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ของปี 2564 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ขยายฐานลูกค้าในประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฐานการผลิตในกัมพูชายังได้สิทธิทางภาษีและการค้าจากสหรัฐอเมริกาที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค จึงเป็นฐานการผลิตที่สามารถดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ได้เป็นอย่างดี
รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ SVI กล่าวว่า การลงทุนในครั้งนี้ได้ช่วยยกระดับคุณภาพและความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนในการกระบวนการผลิต ทำให้ SVI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และรองรับการรุกขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มเติมในแต่ละภูมิภาค รวมถึงการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากที่ตั้งของฐานการผลิตได้อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของลูกค้า
“ปัจจุบันเราใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยสูงถึง 80% จากกำลังการผลิตโดยรวมทั้งหมด เราจึงต้องวางแผนเตรียมความพร้อมด้านฐานการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ตามสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายในหลายประเทศ ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของ SVI ในระยะยาว” นายสมชาย กล่าว