“เอสซีจี” ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบ ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืน’ นำศักยภาพด้านเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมสีเขียว ชูวัสดุก่อสร้าง โซลูชัน และบริการที่ตอบโจทย์การสร้างบ้านได้ทั้งหลัง พร้อมตอบความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาเลือกใช้สินค้าที่รักษ์โลก และประหยัดพลังงานกันมากขึ้น ขณะเดียวกัน ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อฉลากจาก ‘เอสซีจี อีโค แวลู’ เป็น ‘เอสซีจี กรีน ช้อยส์’ ภายใต้สโลแกน ‘คุณเลือก เพื่อโลกได้’ ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้บริโภคในการเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอสซีจี เป็นรายแรกและรายเดียวในแวดวงวัสดุก่อสร้างไทยที่ออกฉลากรับรองสินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบรับรองตนเอง พร้อมเผยสินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้กลุ่มเอสซีจี มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 29 ของรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเจอวิกฤตปัญหามากมาย ทั้งโลกร้อน มลพิษ ภัยธรรมชาติ และการขาดแคลนทรัพยากร เอสซีจี จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งวิจัย พัฒนา และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผลิตนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันด้านที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมลดปัญหาดังกล่าว และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคยุคใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น พร้อมกันนี้ ยังได้ออกฉลากรับรองตนเองด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่สินค้า และบริการของเอสซีจี หรือ ‘เอสซีจี กรีน ช้อยส์’ คุณเลือก เพื่อโลกได้ มาเป็นตัวช่วยผู้บริโภคในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ง่ายยิ่งขึ้น และมั่นใจได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลกและดีต่อคุณภาพชีวิตจริงๆ พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึงสื่อสารผ่านหน้าร้าน และ ณ จุดขาย
ปัจจุบัน เอสซีจีมีสัดส่วนรายได้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด โดยมีสินค้าและบริการในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 60 รายการ ที่ได้รับฉลาก SCG Green Choice ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบโจทย์การสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมสินค้าเพื่อบ้านอยู่สบาย และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ไปจนถึงงานโครงสร้าง หลังคา วัสดุตกแต่งบ้าน โดยตัวอย่างนวัตกรรมสินค้าเพื่อบ้านอยู่สบาย เช่น ระบบหลังคาโซลาร์เซลล์ เอสซีจี สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ช่วยประหยัดค่าไฟได้มากกว่า 1,370 หน่วย/เดือน (แพกเกจพรีเมียม) ระบบ Active AIRflow™ System นวัตกรรมถ่ายเทอากาศที่ช่วยลดอุณหภูมิ 2-5 องศาในบ้าน และช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 นวัตกรรมที่ช่วยให้เจ้าของบ้านประหยัดยิ่งขึ้น เช่น สุขภัณฑ์อัจฉริยะแบรนด์คอตโต้ ที่ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับสุขภัณฑ์ทั่วไป ทั้งยังมีฟังก์ชันเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ และมีก้านฉีดชำระสเตนเลสผสมสารป้องกันแบคทีเรีย มาพร้อมระบบ UV Sterilization (Self-Cleaning) เพิ่มความมั่นใจในความสะอาดทุกครั้งที่ใช้งาน
รวมถึงก๊อกน้ำหลากหลายรุ่นที่ลดการใช้น้ำได้มากกว่า 20% และนวัตกรรมป้องกันเชื้อโรค เช่น กระเบื้อง Hygienic Tiles ที่มีสาร Silver Nano ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตลอดอายุการใช้งาน นวัตกรรมสินค้าอื่นๆ เช่น กลุ่มงานโครงสร้าง เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างน้อย 50 กิโลกรัมต่อตันปูนซีเมนต์ กลุ่มหลังคา เช่น หลังคาคอนกรีตเอสซีจี รุ่นซีแพค หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ เอสซีจี รุ่นลอนคู่ และวัสดุตกแต่งบ้านอื่นๆ เช่น บล็อกปูพื้น เอสซีจี (Concrete Paving Block) มีการใช้วัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนผสมในการผลิต
“เมื่อเร็วๆ นี้ เอสซีจียังคว้ารางวัลแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฐานะองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม (Top Green Brand Love) จากวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และตอกย้ำจุดยืนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ยึดมั่นมาโดยตลอด สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต เอสซีจีจะเดินหน้าผลักดัน และส่งเสริมการดำเนินงานให้สอดรับต่อเศรษฐกิจ และสังคมในยุค New Normal โดยเราจะมุ่งให้ความสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Development) มากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ โดยเชื่อว่าฉลาก SCG Green Choice จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกสินค้าให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”