บล.ทิสโก้ มองหุ้นไทยไปต่อลำบาก เพราะต้องเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มประมาณการกำไรที่ถูกปรับลง และการชุมนุมทางการเมืองเริ่มคุกรุ่น พร้อมปรับเป้าดัชนีสิ้นปีเหลือ 1,400 จุด จากเดิม 1,440 จุด
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (Mr.Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co.,Ltd) เปิดเผยว่า ภาพรวมการประกาศงบไตรมาส 2/2020 ของบริษัทจดทะเบียนไทย จำนวน 601 บริษัท จากทั้งหมด 621 บริษัท คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 98% ของทั้งตลาดโดยรวม (นับเฉพาะตลาด SET ไม่รวมตลาด mai) มีกำไรสุทธิรวม 1.17 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ส.ค.2563) แม้ทรุดตัวแรง -46% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) จากผลกระทบ COVID-19 แต่เริ่มฟื้นตัว 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และยังเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาด (Bloomberg Consensus) โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่ม ENERG และ PETRO ที่พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ และมีรายการพิเศษในกลุ่ม ICT และ CONMAT
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดยังคงปรับแนวโน้มประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยลงอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. ประมาณการกำไรปีนี้ถูกปรับลงมาอยู่ที่ 58.9 บาท หรือลดลง 3.6% และกำไรปีหน้าถูกปรับลงมาอยู่ที่ 76.4 บาท หรือลดลง 4.9% ซึ่งเป็นการปรับลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ดังนั้น บล.ทิสโก้ จึงมองว่า หลังจากนี้ดัชนีหุ้นไทยคงปรับตัวขึ้นได้ลำบาก ตราบใดที่ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่
“สาเหตุที่ บล.ทิสโก้ มองว่าหลังจากนี้ตลาดหุ้นไทยคงปรับตัวขึ้นได้ยาก เป็นเพราะหากกำไรบริษัทจดทะเบียนยังถูกปรับลดลง ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยก็จะยิ่งแพงขึ้น โดยปัจจุบันคิดเป็นค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Fwd. PER) ปีนี้ และปีหน้าอยู่ที่ 22.5 เท่า และ 17.4 เท่า ตามลำดับ ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่อยู่ประมาณ 15-16 เท่า ดังนั้น ผลพวงจากการปรับประมาณการกำไรตลาดลง บล.ทิสโก้ จึงได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ลงจาก 1,440 จุด เป็น 1,400 จุด และปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีหน้าลงจาก 1,580 จุด เป็น 1,535 จุด และหากเทียบกับระดับดัชนี ณ ปัจจุบัน จะคิดเป็นโอกาสการปรับขึ้น (Upside) ในปีนี้ค่อนข้างจำกัดที่ 5% และปีหน้าที่ประมาณ 15%” นายอภิชาติ กล่าว
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า นอกจากประเด็นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีอีกหนึ่งปัจจัยกดดันคือ การเมืองไทย ที่ส่อแววกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง หลังมีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งหัวใจการชุมนุมครั้งนี้อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่คงไม่สามารถตกผลึกได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การชุมนุมมีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจถูกยกระดับขึ้นในอนาคต โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือพัฒนาการด้านการชุมนุมที่อาจขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการยกเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งนี้ ปัจจัยด้านการเมืองและผลประกอบการจดทะเบียนที่ลดลงจะกดดันตลาดหุ้นไทยให้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อไป (Underperform)
สอดคล้องต่อข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในอดีตช่วงที่มีม็อบ 3 ครั้งล่าสุด ได้แก่ ม็อบพันธมิตรฯ ม็อบ นปช. และม็อบ กปปส. หุ้นไทยมักจะปรับตัวลงเฉลี่ยเกือบ -3% สวนทางกับตลาดหุ้นโลกในช่วงเวลาเดียวกันที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2% โดยผลตอบแทนของดัชนีหุ้นไทยจะผันแปรไปตามระยะเวลาที่มีม็อบ
นอกจากนี้ จากการศึกษาความเคลื่อนไหวราคาหุ้นแบบเจาะเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า กลุ่มที่ปรับขึ้นมากกว่าตลาด (Outperform) ทุกครั้งในช่วงที่มีม็อบ คือ กลุ่ม AGRI (ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +14.2%) ETRON (+9.3%) COMM (+9.3%) HOME (+7.0%) และ FOOD (+6.6%) ขณะกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาด (Underperform) ทุกครั้งในช่วงที่ม็อบ คือ ICT (ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -14.1%) PROP (-8.2%) และ MEDIA (-7.7%)
ทั้งนี้ ท่ามกลางประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และการชุมนุมทางการเมือง บล.ทิสโก้ จึงมองว่าตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้จะไปต่อได้ลำบาก โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยในระยะสั้นจะแกว่งตัวในกรอบ 1,300-1,350 จุด สำหรับสไตล์การลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) แบบจำกัดวงเงิน ลงซื้อ-ขึ้นขาย ภายใต้ดัชนีหุ้นไทยในกรอบ 1,300-1,350 จุด โดยธีมหุ้นที่น่าสนใจในระยะสั้น คือ 1.หุ้นที่เห็นสัญญาณตลาดปรับประมาณการกำไรขึ้นในระยะสั้น ได้แก่ SENA, TRUE, และ TU 2.หุ้นที่งบ Q2 เป็นจุดต่ำสุด แนวโน้มครึ่งปีหลังฟื้นตัวต่อเนื่องและปีหน้าจะกลับมาโตกว่าช่วงก่อน COVID-19 ได้แก่ BJC, ILINK, PLANB และ WHA และ 3.หุ้นแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังยังดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ได้แก่ CPF, PRM, RS และ SMPC
สำหรับสไตล์การลงทุนแบบระยะกลาง-ยาว แนะนำหาจังหวะสะสมช่วงอ่อนตัว ธีมหุ้นที่น่าสนใจ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงการเมืองร้อน ได้แก่ หุ้นกลุ่ม COMM แนะนำ BJC, CPALL, HMPRO และ RS หุ้นกลุ่ม FOOD แนะนำ CPF, GFPT และ TVO และหุ้นกลุ่ม ETRON แนะนำ DELTA และ HANA 2.หุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม 4 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ CK, SEAFCO และ TASCO 3.หุ้นปันผลดี ได้แก่ AP, BBL, DIF, KKP, LH, QH, SCCC, SMPC และ TVO และ 4.หุ้นรอลุ้นวัคซีน ฟื้นตัวจากฐานราคาและกำไรที่ต่ำ ได้แก่ AOT, BDMS, CENTEL, CPN, CRC และ SPA