ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หนึ่งในธนาคารสมาชิกกลุ่มซีไอเอ็มบี กลุ่มการเงินชั้นนำของอาเซียน จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสวันอาเซียน ซึ่งตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ของทุกปี โดยกลุ่มซีไอเอ็มบี ไทย มองว่าเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนยังแกร่ง และจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปีหน้า และเห็นกระแสควบรวมกิจการเพื่อรักษาธุรกิจ เพิ่มความแข็งแกร่ง โดยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และบริษัทในกลุ่มซีไอเอ็มบีในประเทศไทยพร้อมให้การสนับสนุนแบบครบวงจร
นายพรชัย ปัทมินทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บรรษัทธุรกิจและวาณิชธนกิจธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า อนาคตอันใกล้เราอาจจะได้เห็นภาคธุรกิจปรับตัวขนานใหญ่ โดยจะมุ่งเน้นในธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และเลือกลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพเป็นหลัก
ช่วงที่เศรษฐกิจดี บริษัทต่างๆ จะต่อยอดธุรกิจโดยขยายการลงทุนออกไปในทุกตลาดที่เห็นโอกาส แต่ในภาวะเช่นนี้ เราจะเริ่มเห็นแนวโน้มของธุรกิจขนาดกลางที่เข้ามาจับมือกันเพื่อความอยู่รอดกันมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่บริษัทใหญ่ๆ ในไทยที่มีความพร้อมจะอาศัยช่วงจังหวะนี้ในการซื้อกิจการเพื่อเติบโตและขยายฐานธุรกิจของตนเองออกไปในภูมิภาคอาเซียน
“จริงๆ แล้วสถานการณ์โลกตอนนี้ไม่ได้มีแค่โควิด-19 เรื่องเดียว โควิด-19 เป็นเพียงตัวเร่งให้หลายสิ่งเกิดเร็วขึ้น จึงเป็นโอกาสให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้แสดงศักยภาพ ดังจะเห็นได้จากประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อันที่เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโดย The Global COVID-19 Index (GCI)
เราจะเห็นได้ว่าอาเซียนมีศักยภาพที่จะดันตัวเองให้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในเศรษฐกิจโลกได้มากขึ้น ยกตัวอย่าง อาเซียนเด่นเรื่องอุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน บริษัทต่างๆ ต้องสร้างคุณค่าเพิ่มให้ธุรกิจของตัวเอง” นายพรชัย กล่าว
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มีจุดแข็ง คือ ASEAN PLATFORM อันแข็งแกร่งที่เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานระดับภูมิภาคของซีไอเอ็มบีกรุ๊ป ที่มีความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจลูกค้า และมีเวลาดูแลลูกค้าใกล้ชิด โดยมีเครือข่ายทั้งในและนอกภูมิภาค ทำให้สามารถแนะนำและส่งต่อลูกค้าระหว่างกัน เพื่อสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินให้ลูกค้าไทยไปเติบโตในต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สนับสนุนสินเชื่อ เทรดไฟแนนซ์ การควบรวมกิจการ วาณิชธนกิจ ไปจนถึงบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และเราไม่ได้มีแค่ total solutions ยิ่งไปกว่านั้นคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มลงไปในทุกอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ความรู้และโอกาสในการทำธุรกิจ พร้อมประสานงานเพื่อตามไปสนับสนุนลูกค้าในตลาดที่ลูกค้าไปขยายธุรกิจ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าปีหน้าจะเห็นเศรษฐกิจแต่ละประเทศในภูมิภาคนี้ฟื้นตัวได้เร็ว และเร็วกว่าประเทศตะวันตกโดยอาศัยกำลังซื้อจากคนในประเทศเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่มีประชากรในประเทศมาก ทำให้กำลังซื้อในประเทศสูง อีกทั้งแต่ละประเทศในอาเซียนค้าขายภายในภูมิภาคกันค่อนข้างมาก แม้โดนผลกระทบโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจหดตัว แต่ปีหน้าถือว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนก็ยังมีศักยภาพในการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ประเทศอาเซียนที่น่าจับตาเป็นพิเศษ คือเวียดนาม เพราะปีนี้เวียดนามเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจชะลอ แต่ยังคงเป็นบวก โดยปีนี้คาดว่าเวียดนามจะยังโตได้ 2-3% จากเดิมโตได้ 6-7% อีกทั้งสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีการกลับมาเกิดรอบ 2 ที่ดานัง แต่ควบคุมการแพร่ระบาดได้รวดเร็ว ขณะที่การส่งออก เวียดนามสามารถหาตลาดใหม่ๆ ชดเชยตลาดจีนในสหรัฐฯ ได้ อีกทั้งถ้ามองต่อไป การค้าการลงทุนกับยุโรปจะเดินหน้าได้ ผ่าน FTA ซึ่งยุโรปมีการย้ายฐานจากจีนเข้ามาสู่เวียดนามได้
ดังนั้น การเติบโตของเวียดนามเป็นโอกาสของภูมิภาคนี้ เพราะเมื่อเวียดนามเติบโตได้ ก็ต้องใช้ทรัพยากรจากประเทศอื่น ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมส่งต่อให้ประเทศอื่นในภูมิภาค เป็นเหมือนชิ้นส่วนประกอบสำหรับการส่งออกอีกทอดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ประเทศไทยก็สามารถรับอานิสงส์การเติบโตของเวียดนามได้
“แม้จะยังไม่สามารถค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเรายังเชื่อว่าภูมิภาคนี้มีจุดแข็งภายในจากกำลังซื้อในประเทศ และจากชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตได้ดี อีกทั้งความเป็นเมือง (urbanization) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โตได้ดีปีหน้า แม้ปีนี้เศรษฐกิจอาจจะติดลบ ส่วนจะมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ แต่โดยรวมจะฟื้นตัวได้รวดเร็วปีหน้า” นายอมรเทพ กล่าว
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีพบว่ามีนักลงทุนใหม่ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นมาเปิดบัญชีลงทุนหุ้นจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าพัน และ rebound ทำให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกคึกคักเพราะมีโอกาสที่รายย่อยเข้าซื้อขายทำกำไรได้พอสมควร แต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ตลาดไม่ได้หวือหวาเท่าครึ่งแรก แม้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว แต่การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจะไม่เร็วเท่า จะซึมๆ ในช่วงแรก จึงเกิดคำถามว่าตลาดหุ้นไทยแพงไปรึยัง ยังน่าลงทุนอยู่ไหม การไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาก
เดิมทีตลาดหุ้นในอาเซียนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่มาปีนี้ความน่าสนใจตลาดหุ้นแตกต่างกันในแต่ละประเทศ และแตกต่างกันราย sector สำหรับ sector ที่ out perform ได้แก่ หุ้นกลุ่มไฮเทค และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้อานิสงส์จากวิถีชีวิตใหม่หลังโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นที่มีหุ้น 2 กลุ่มนี้จดทะเบียนจำนวนมากจะ perform ได้ค่อนข้างดีกว่า เช่น ตลาดหุ้นเกาหลี ไต้หวัน ตลาดมองว่าจะยังมีโอกาสวิ่งต่อไปได้อีก เพราะคนต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ หรือตลาดหุ้นมาเลเซียที่คึกคักและ out perform จากธุรกิจถุงมือยางทางการแพทย์ที่มูลค่าตลาดสูงกว่าไทย
สำหรับตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาพอสมควร ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมา 17% นับตั้งแต่ต้นปี (ปรับตัวลดลง 21% กรณีคำนวณเป็นดอลลาร์สหรัฐ) แต่ไม่ได้แย่ทั้งตลาด ขึ้นอยู่กับราย sector เช่นกัน หุ้นในประเทศกลุ่ม perform ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหุ้นกลุ่มที่ไม่ perform ได้แก่ ธนาคาร ขณะที่โรงพยาบาลในประเทศอื่นในอาเซียน perform ได้ดีกว่าในไทย เนื่องจากโรงพยาบาลในไทยขาดรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ
“นักลงทุนที่สนใจไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีฯ มีจุดแข็งด้านเครือข่ายสาขาในหลายประเทศทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียน มีเจ้าหน้าที่สำหรับให้คำแนะนำลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะ โดยมีเครือข่ายรวมถึงศักยภาพที่เข้าถึงตลาดหุ้น 8 แห่ง ใน 5 ประเทศทั่วโลกได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง จีน เสิ่นเจิ้น เซี่ยงไฮ้ นิวยอร์ก และโอซากา และเราเน้นให้บริการลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก มีแอปพลิเคชัน iTrade ช่วยจัดการบัญชีหุ้น เปิดบัญชีเดียว สามารถลงทุนได้หลายสกุลเงินโดยมีทางเลือกทั้งการซื้อขายที่ทำได้ด้วยตัวเองผ่านออนไลน์ หรือจะลงทุนผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดก็ได้ โดย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มีสาขา 16 แห่งที่พร้อมให้บริการ” นายเกษม กล่าว