“ผอ.ออมสินคนใหม่” มอบนโยบายพนักงาน ระบุ ดีใจที่ได้กลับมาทำงานที่แบงก์ออมสินอีกครั้ง พร้อมย้ำความตั้งใจที่ชัดเจนอยากให้แบงก์ออมสินเป็นโซเชียลแบงกิ้ง กลับมาสู่ตัวตนจริงๆ ของธนาคารฯ ที่ดูแลประชาชน เศรษฐกิจฐานราก คนจน และเป็นกำลังหลักของประเทศอย่างแท้จริงในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เดินหน้าเพื่อความหลากหลายในการใช้งานระบบ MyMo หวังหนุนให้ออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคมที่มีความแข็งแรงในเรื่องดิจิทัลเป็นอย่างมาก เผยยังมีความท้าทายเรื่องการจัดการหนี้เสียและการกันสำรอง โดยระบุปัจจุบันมีหนี้ที่ค้างชำระ 31-90 วัน อยู่ราว 3.3 แสนบัญชี ส่วนหนี้ที่ปรับโครงสร้างอีก 4 แสนบัญชี รวมเป็นกว่า 7.3 แสนบัญชี คาดตัวเลขการตั้งสำรองหนี้สูญจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวมอบนโยบายเนื่องในวันที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ว่า ตนดีใจจริงที่ได้มีโอกาสกลับมาธนาคารออมสิน ซึ่งตนดีใจจริงๆ ที่ได้มีวันนี้ และเป็นความตั้งใจ เป็นความปรารถนาโดยลึกๆ แล้วว่าตนจะกลับมาทำงานที่ธนาคารออมสินอีกครั้งหนึ่งด้วยบทบาทใดบทบาทหนึ่ง เมื่อได้รับความไว้วางใจให้มีโอกาสกลับเข้ามาเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ตนก็ดีใจ
ทั้งนี้ ตนมีความตั้งใจที่ชัดเจนมากว่าต้องการให้ธนาคารออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank) โดยธนาคารฯ ต้องพิจารณาตำแหน่งที่จะดูแลประชาชน ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ดูแลคนจน และเป็นกำลังหลักของประเทศอย่างจริงจังในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่เวลาที่กล่าวเช่นนี้ตนไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาธนาคารออมสินไม่ได้ทำบทบาทดังกล่าว เพียงแต่ว่าบทบาทนี้จะต้องมีความชัดเจนมากขึ้นและต้องเป็นรูปธรรมจริงๆ โดยพิจารณาจากการมียอดสินเชื่อในกลุ่มนี้ที่เพิ่มขึ้น ต้องมียอดจำนวนคนที่ธนาคารฯ สามารถช่วยเหลือได้จริงๆ และต้องมีบทบาทช่วยเหลือประเทศชาติได้โดยไม่ใช่มุ่งที่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ต้องการผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากที่มีความตั้งใจจริง
อย่างไรก็ตาม นายวิทัย ยังย้ำด้วยว่า เวลาที่บอกจะเป็นธนาคารเพื่อสังคมนั้น ไม่ได้หมายความว่ากำไรต้องลดลง เนื่องจากบริษัทนอนแบงก์ที่ทำธุรกิจ จะมีกำไรอย่างมากมายจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 24-28% แต่หากธนาคารออมสินสามารถช่วยลดกำไรส่วนเกินตรงนี้ลงมาได้ ก็จะมีกำไรที่พอดี และยังสามารถช่วยคนได้ไปพร้อมกันด้วย
นอกจากนี้ การจะเป็นธนาคารเพื่อสังคมนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกธุรกิจแบงก์พาณิชย์ที่ทำอยู่ด้วย เพียงแต่ต้องพิจารณาว่าธุรกิจใดที่มากเกินไป เกินเลยไป หรือธุรกิจที่ทำแล้วอาจจะเป็นการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ แต่ธนาคารออมสินก็ไม่ได้มีกำไรไปด้วยนั้น อาจต้องมานั่งทบทวนดูว่าจะต้องลดขนาดหรือเปลี่ยนจุดเน้นหรือจุดโฟกัสบ้าง เนื่องจากธนาคารฯ ยังต้องทำธุรกิจโดยทั่วไปเพื่อนำกำไรมาหล่อเลี้ยงช่วยเหลือคนจน และเป็นความชัดเจนว่าธุรกิจของธนาคารออมสินจะมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือสังคม ซึ่งเราจะกลับมาสู่ตัวตนจริงๆ ของธนาคารออมสินที่ตนรู้จัก ซึ่งต้องช่วยคนจน ช่วยฐานราก อยู่กับคนจน อยู่กับชุมชน ภารกิจแต่เดิมนั้นทำมาดีแล้ว เราจะต่อยอดต่อไปเพื่อทำส่วนดังกล่าวนี้เป็นหลัก แต่กำไรจะไม่ลดลง
ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ย้ำด้วยว่า ธนาคารออมสินยังมีความท้าทายในเรื่องหนี้เสียและการกันสำรองตามคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยหนี้เสียในปัจจุบันก่อนที่จะมีมาตรการพักชำระหนี้ให้ลูกหนี้ของธนาคารฯ เมื่อ 31 มี.ค.63 เพื่อช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น ธนาคารออมสินมีลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้ 31-90 วัน อยู่ราว 330,000 บัญชี และมีหนี้ที่ปรับโครงสร้างในปัจจุบันที่กำลังจะครบอีก 400,000 แสนบัญชี ซึ่งรวมกันจะอยู่ที่ประมาณ 730,000 แสนบัญชีนี้ ถือเป็นความท้าทายของธนาคารออมสินจริงๆ ว่าจะทำอย่างไร
ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุที่นายชาติชาย พยุหนาวีชัย อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ต้องกดปุ่มพักชำระหนี้ เนื่องจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่าในเดือน เม.ย.63 หนี้เสียน่าจะเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเรื่องดังกล่าวยังถือเป็นเรื่องที่ท้าทายควบคู่กับเรื่องที่ ธปท. มีคำสั่งตั้งแต่ปลายปี 62 ให้ธนาคารฯ สำรองค่าใช้จ่ายเรื่องสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 8.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารออมสินต้องหาทางออกว่าจะจัดการกับตัวเลขนี้กันอย่างไร แต่หากผลสรุปสุดท้ายธนาคารออมสินต้องสำรองราว 50,0000 ล้านบาท ก็จะเป็นภาระของธนาคารฯ ที่ต้องสำรองในอนาคต โดยนายวิทัย ย้ำว่าตนจะทำให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าธนาคารออมสินยังจะมีกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารออมสินยังมีหนี้ที่ค้างชำระแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย 3 แสนบัญชี หรือคิดเป็นมูลค่าราว 70,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหนี้เสียเดิมอีก 4 แสนบัญชี คิดเป็นมูลค่า 65,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารฯ ได้ตั้งสำรองหนี้แล้ว แต่ยังต้องแก้ไขให้เป็นหนี้ปกติต่อไป
ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เวลาที่บอกว่าธนาคารออมสินจะเป็นธนาคารเพื่อสังคมนั้น จะต้องยืนอยู่บนสถานะของธนาคารเพื่อสังคมที่มีความแข็งแรงในเรื่องดิจิทัลเป็นอย่างมาก ดังนั้น ต่อไประบบ MyMo ของธนาคารออมสินจะต้องเป็นหลัก โดยต้องสามารถปรับให้ทำ KYC ลูกค้าได้โดยไม่ต้องมาที่สาขา รวมทั้งยังต้องสามารถตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร ทำสัญญาเงินกู้ และจ่ายเงินให้ลูกค้าผ่าน MyMo ได้เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทยอยเกิดขึ้นภายในเวลาที่ไม่นานนัก เพื่อที่จะทำให้ธนาคารออมสินเป็นทั้งธนาคารเพื่อสังคมและดิจิทัลแบงก์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่สาขาตลอดเวลา เนื่องจากโครงการของรัฐจะให้ช่วยเหลือคนเป็นล้านๆ คน ธนาคารฯ จะลดจำนวนคนที่มาสาขาเพื่อช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่สาขาลงด้วย อันนี้ก็จะเป็นทางที่มีความชัดเจนว่าธนาคารออมสินจะต้องเป็นดิจิทัลแบงก์ที่แก่นแท้จริงๆ
นอกจากนี้ เมื่อธนาคารออมสินหันมาเน้นธุรกิจเพื่อสังคมแล้ว ธุรกรรมบางอย่างอาจต้องปรับลดลงบ้าง เช่น การโฆษณา การจัดกิจกรรมกอล์ฟ กิจกรรมไปต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ยังให้ทำได้แต่เท่าที่มีความจำเป็น และพิจารณาถึงความคุ้มค่าเป็นหลักด้วย เนื่องจากเรื่องใดที่พี่น้องมีความกังวลสงสัย หรือสังคมมีคำถามกัน ตนก็ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ยกเลิกไปเสีย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรผิด เนื่องจากทุกคนทำด้วยความปราถนาดี แต่ยุคนี้เป็นยุคธนาคารเพื่อสังคม ความจำเป็นในเรื่องการทำประชาสัมพันธ์หรือพีอาร์ เพื่อจัดกิจกรรมก็อาจจะต้องลดน้อยลงด้วย เพื่อให้ธนาคารออมสินกลับมายืนอยู่บนความเป็นตัวตนของธนาคารออมสินที่ตนเคยเห็นมาตลอดเมื่อหลาย 10 ปีที่ผ่านมา
ส่วนสาขาของธนาคารฯ ก็จะต้องได้รับการดูแล และตนจะเข้าไปดูแลสาขาเอง โดยสำนักงานใหญ่ต้องทำงานสนับสนุนช่วยเหลือสาขาเพื่อให้เดินไปด้วยกัน เช่น เรื่องเป้าสินเชื่อของสาขา หรือมีเรื่องโควิด-19 ก็ต้องคิดล่วงหน้าไปด้วยกันว่าต้องทำอะไร รวมถึงเรื่องค่าแรงทำงานล่วงเวลา (โอที) ก็ต้องจ่ายให้ถูกต้องและคุ้มค่า ซึ่งปัจจุบันตนได้รับทราบว่าเงินงบประมาณโอทีของโครงการได้หมดลงแล้ว ซึ่งตนไม่ได้มีความลังเลที่จะโอนเงินเพิ่มเข้าไปให้อีก 2 เท่าเพื่อให้นำไปใช้ให้ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน โบนัสของลูกจ้าง ธนาคารฯ ก็ต้องดำเนินการ แต่ต้องยอมรับว่าเงินก้อนโบนัสนั้นเป็นเงินก้อนเดียว พี่น้องพนักงานอาจจะต้องช่วยเหลือดูแลพี่น้องทางลูกจ้างบ้าง เนื่องจากเราต้องแบ่งปัน เผื่อแผ่ทุกคน หากเราจะแข็งแรงเพื่อช่วยคนนอกได้ คนข้างในเราต้องแข็งแรง ดังนั้น หากธนาคารออมสินสามารถดำเนินการมาในแนวทางนี้ได้ เราจะเป็นธนาคารที่ยั่งยืน เป็นกำลังหลักของประเทศชาติได้จริงๆ และเป็นตัวตนของตัวเองจริงๆ นั่นคือความยั่งยืนจากภายนอก ส่วนความยั่งยืนจากภายในนั้น เราต้องดูแลพี่น้องและคนของธนาคารออมสินทุกๆ คนด้วย