บล.หยวนต้ามอง 5 ปัจจัยหนุน กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 24 มิ.ย.นี้ พร้อมเปิดโผ 17 หุ้นที่ได้รับอานิสงส์ก่อนและหลังประชุม แนะนำเก็งกำไรเชิงกลยุทธ์ KKP, TISCO, TCAP, BEM, SUPER, GPSC, BGRIM, ADVANC, INTUCH, DTAC ก่อนประชุม กนง. หรือรอซื้อ SCB, BBL, TMB, CPF, GFPT, TFG, AP, SPALI กรณีที่มีการลดดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระให้ลูกหนี้-ลด NPL และช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้ภาคธุรกิจ แต่อาจทำอัตราผลตอบแทนตลาดตราสารหนี้อ่อนตัวลง
บล.หยวนต้าเปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์รายวัน ถึง 5 ปัจจัยที่อาจจะสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 25 bps หรือ 0.25% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ประกอบด้วย
(1) ผลประชุมครั้งก่อนระบุชัดว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแย่กว่าคาดการณ์เดิม ซึ่งครั้งนี้คาดว่าจะมีการปรับลดประมาณการ GDP 2563 ลงจาก -5.3% ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการปรับลดดอกเบี้ย
(2) เดือน มิ.ย.-ก.ค. 63 เป็นช่วงรอยต่อของนโยบายการคลัง ทั้งเป็นช่วงสิ้นสุดการให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เป็นเวลา 3 เดือน และเป็นช่วงที่รัฐบาลมีการระดมเงินทุนเพื่อไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท การรักษาระดับต้นทุนทางการเงินจึงมีผลต่อการหล่อเลี้ยงสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวม
(3) อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ โดยเงินเฟ้อทั่วไป พ.ค. 63 ติดลบ -3.4% YoY ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 10 เดือน ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน +0.01% YoY เมื่อลดดอกเบี้ย 25 bps อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังเป็นบวก
(4) การลดดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ กนง.เริ่มกังวลในการประชุมครั้งก่อน
(5) พฤติกรรรมการซื้อตราสารหนี้ของกองทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ คล้ายกับรอบการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อน คือมีการเร่งซื้อในช่วง 5 วันทำการก่อนประชุม
มอง กนง.ลดดอกเบี้ย ช่วยลด NPL-ต้นทุนการเงินภาคธุรกิจ
ในส่วนของเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระให้แก่ลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิด NPL และช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจที่ต้องการ Refinance หรือขยายธุรกิจตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะอ่อนตัวลง แต่อาจไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ (อายุ 10 ปี ต่ำสุดที่ 0.858%) เพราะมีอุปทานพันธบัตรใหม่จากการระดมทุนของกระทรวงการคลังคอยหนุนผลตอบแทน
ขณะที่ตลาดทุน การฟื้นตัวของ SET INDEX กว่า 42% จากจุดต่ำสุดที่ 969 จุดเมื่อ 13 มี.ค. 63 ทำให้ Current Earning Yield Gap (EYG) ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ 6.5% อย่างรวดเร็ว เหลือเพียง 3.9% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 3.5% หาก SET INDEX จะขึ้นต่อ EPS ต้องโตเพื่อลด PER แล้วไปเพิ่ม Earning Yield แต่สถานการณ์ปัจจุบันคาดหวัง EPS Growth ได้ยาก (เว้นแต่มีการปรับลดภาษีนิติบุคคล) การลดลงของ Bond Yield จึงเป็นตัวแปรเดียวที่ช่วยหนุน EYG และประคอง SET INDEX ไม่ให้ทรุดตัวลงแรง
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการไหลเข้าและกระตุ้นการไหลออกของกระแสเงินไปในคราวเดียวกัน อิงจากการลดดอกเบี้ยของ กนง.5 ครั้งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เราพบว่าช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ 5-10 วันทำการ
เปิดโผ 17 หุ้นได้อานิสงส์ หุ้นกลุ่ม Defensive มักขึ้นก่อนประชุม
จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่ากลุ่มที่มักปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดก่อน กนง.ลดดอกเบี้ย 5 วันทำการคือ โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ ลีสซิ่ง และสื่อสาร ขณะที่กลุ่มแบงก์จะถูกกดดันก่อนการประชุม แต่มักจะมี Buy on fact หลังประชุม เช่นเดียวกับกลุ่มส่งออกและอสังหาฯ ที่มักปรับขึ้นได้ดีหลัง กนง.ลดดอกเบี้ย
ในเชิงกลยุทธ์ (1) แนะนำเก็งกำไร KKP, TISCO, TCAP, BEM, SUPER, GPSC, BGRIM, ADVANC, INTUCH, DTAC ก่อนประชุม กนง. ซึ่งเป็นชุดหุ้น D&D ที่มีความผันผวนต่ำ หาก กนง.ไม่ลดดอกเบี้ยตามที่เราคาด Downside จากความผิดหวังจะค่อนข้างจำกัด (2) รอซื้อ SCB, BBL, TMB, CPF, GFPT, TFG, AP, SPALI วันประชุม กนง. กรณีที่มีการลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ แนะนำติดตามแรงซื้อตราสารหนี้ของต่างชาติและกองทุนในประเทศ ถ้ายังซื้อในอัตราเร่ง และ Bond Yield ชะลอการปรับขึ้น ผนวกกับเงินบาทเคลื่อนไหวเชิงแข็งค่า จะเป็นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเก็งกำไรตามกลยุทธ์ข้างต้น แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ กลยุทธ์และธีมการลงทุนที่กล่าวมาทั้งหมดอาจไม่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้