หลักทรัพย์บัวหลวงแนะหาจังหวะลงทุน “กองทุน SSFX” โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ตัวช่วยประหยัดภาษีในยุคดอกเบี้ยต่ำ และตลาดหุ้นไทยอยู่ในจุดที่น่าสนใจ พร้อมเปิดโผประเภทกองทุนที่น่าสนใจ และรายชื่อกองผลตอบแทนเด่น และค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะกับช่วงตลาดหุ้นผันผวน
นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการ ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวเฉลี่ย 1,418 จุด (ตัวเลข ณ วันที่ 10 มิ.ย. 63) ถือว่าอยู่ในจุดที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของปีที่ 1,748.15 จุด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.50% ต่อปี ถือเป็นจังหวะที่ดีในการหาโอกาสเข้าลงทุนใน “กองทุนรวมเพื่อการออมชนิดเพื่อการออมพิเศษ หรือ Super Savings Fund Extra : SSFX” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท โดยมีกำหนดถือลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งจะลงทุนได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้
ปัจจุบัน “กองทุนเพื่อการออมพิเศษ” มีให้เลือกลงทุนอยู่หลากหลายประเภท เช่น 1. กองทุนประเภทแบ่งตามสัดส่วนของการลงทุน โดยแบ่งออกเป็นลงทุนในหุ้นไทยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์, ลงทุนหุ้นไทยไม่เกิน 70% และลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset allocation) โดยจะเน้นลงทุนหุ้นไทยเกิน 65% ซึ่งการลงทุนลักษณะนี้จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้เป็นอย่างดี
2. กองทุนประเภทแบ่งตามการบริหารพอร์ต ทั้งแบบ “กองทุนเชิงรุก (Active Fund)” และ “กองทุนเชิงรับ” (Passive Fund) โดย “กองทุนเชิงรุก” จะเน้นคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะมีผลงานที่ดีกว่าตลาดเข้ามาอยู่ในพอร์ตลงทุน ส่วน “กองทุนเชิงรับ” จะเน้นลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น SET, SET100 หรือ SET50 เป็นต้น ซึ่งข้อดีของกองทุนเชิงรับที่ลงทุนตามดัชนีต่างๆ คือค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนถูกกว่ากองทุนเชิงรุก เป็นต้น
3. กองทุนประเภทจ่ายเงินปันผล หรือไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับจุดเด่นของกองทุนแบบมีปันผล คือหากระหว่างทางกองทุนบริหารแล้วมีกำไรก็จะแบ่งกำไรออกมาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุน ส่วนข้อเสียคือ ต้องเสียภาษีเงินปันผล โดยจะหัก ณ ที่จ่าย และเงินลงทุนของเราก็จะลดลง ฉะนั้นหากผู้ลงทุนท่านใดต้องการได้รับผลตอบแทนและเงินลงทุนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไม่ควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีเงินปันผล
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่จบ ทำให้ผู้ลงทุนบางรายมองว่าดัชนีหุ้นไทยตอนนี้ค่อนข้างแพง แต่เรามองว่าตลาดหุ้นระดับนี้ถือว่าน่าสนใจ หากต้องการถือลงทุนระยะยาว 10 ปี ยิ่งมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าผู้ลงทุนที่ถือลงทุนระยะยาวในหุ้น SET50 มาตั้งแต่ปี 2552 หลังวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ ปัจจุบันได้รับผลตอบแทนแล้วเฉลี่ย 8-9% ต่อปี ถือเป็นผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ และเงินฝาก ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 0.25-0.50%” นายเสริมศักดิ์ กล่าว
นายเสริมศักดิ์กล่าวต่อว่า แม้ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน แต่หากมองการลงทุนในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า เชื่อว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน ฉะนั้นการลงทุนใน “กองทุน SSFX” เพื่อรับผลประโยชน์ทางภาษีในช่วงนี้เหมือนซื้อลงทุนแบบมีส่วนลด โดยหลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำลงทุนในกองทุนประเภทเน้นลงทุนใน “หุ้นขนาดใหญ่” เช่น กองทุน KFS100SSFX ที่ลงทุนตามดัชนี SET100 (มีเงินปันผล) และกองทุน PHATRA SET50ESG-SSFX ที่ลงทุนตามดัชนี SET50 ESG (ไม่มีเงินปันผล) ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีจุดเด่นอยู่ที่มีค่าธรรมเนียมการบริหารค่อนข้างต่ำ
ขณะเดียวกันยังแนะนำลงทุนในกองทุนประเภท “กองทุนรวมผสม” ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนได้เป็นอย่างดี เช่น กองทุน MTF-SSFX ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และเน้นกระจายการลงทุนในหุ้น, ตราสารหนี้ และหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เป็นต้น
ปัจจุบันหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนทั้งหมด 19 บลจ. โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อขายออนไลน์ได้ง่ายและสะดวก ผ่านแอปพลิเคชัน Streaming for Fund ขณะเดียวกันเรายังให้คำแนะนำและบริการจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนผ่านกองทุนรวมอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 0-2 618-1111