“ออริจิ้น” โชว์ยอดขายพฤษภาคม 63 แตะ 2,400 ล้านบาท ยอดขายสะสม 5 เดือน 9,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 16,700 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม 2563 บริษัทฯ สามารถทำยอดขาย (Presale) ได้ประมาณ 2,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนกว่า 90% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากเดือนเมษายนที่ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (New High) กว่า 1,700 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นบ้านจัดสรร 29% และคอนโดมิเนียม 71%
ส่งผลให้ 2 เดือนแรกของไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มียอดขายสะสมแล้วกว่า 4,200 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1/2563 และรวม 5 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายสะสมกว่า 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 18% แบ่งสัดส่วนเป็นบ้านจัดสรร 34% และคอนโดมิเนียม 66% ซึ่งเบื้องต้นบริษัทฯ คาดว่า ครึ่งแรกของปี 2563 จะสามารถปิดยอดขายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 21,500 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีมีโอกาสทำได้มากกว่าเป้าหมาย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตเนื่องมาจากการปรับกลยุทธ์เดินเกมการตลาดเชิงรุก ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เช่น เปิด Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada ไปพร้อมๆ กับการผลักดันพนักงานให้ก้าวสู่ Micro Influencer ขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสารส่วนบุคคล ภายใต้โปรเจกต์ Everyone can sell
นายพีระพงศ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท จากแผนทั้งปีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรราว 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 61:49 ตามลำดับ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม
ปัจจุบัน ออริจิ้นฯ มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 73 โครงการ เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และบริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 114,000 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร