บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) ประกาศกำไรสุทธิเติบโตสูงสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาส 1 ปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 347% เป็นเงิน 593.55 ล้านบาท พิสูจน์ชัดเจนว่าโควิดไม่มีผลกระทบ บอร์ดใจดีจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท พร้อมรุกขยายพอร์ตไฟฟ้าเต็มสูบทั้งพัฒนาเองและซื้อกิจการ
นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทย และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย (The Clean Energy Leader) เปิดเผยว่า “สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรก ในปี 2563 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 1,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 1,213 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในงวดปี 2562 โดยมีกำไรสุทธิ 593.55 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด 347% จากกำไรสุทธิ 132.62 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2562 ทำให้อัตรากำไรสุทธิของ ACE ในไตรมาส 1 ปี 2563 สูงถึง 44% ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทฯ เกือบทั้งหมดได้รับค่าไฟฟ้าในอัตราฟีด-อิน ทาริฟ (FIT) ซึ่งเป็นรายได้ที่มีเสถียรภาพสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่า FT ของภาครัฐแต่อย่างใด และไม่ได้รับผลกระทบจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงของผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ได้ลดภาระหนี้สินเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้อย่างมีนัยสำคัญจำนวนร่วม 3,900 ล้านบาทเมื่อปลายปี รวมถึงบริษัทฯ สามารถลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวกับสถาบันการเงินชั้นนำในอัตราต่ำ ส่งผลให้บริษัทฯ ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจาก 110 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2562 เหลือเพียง 26 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินของบริษัทยังปรับตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยล่าสุดบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 44% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ต่ำมากเพียง 0.23 เท่า ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีความพร้อมสูงสุดในการขยายการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE กล่าวเสริมว่า “คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้นให้ผู้ถือหุ้นทุกราย โดยมีวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มิถุนายน 2563 และจะจ่ายปันผลในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 นอกจากนั้น บริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนตามนโยบายสำคัญของภาครัฐ 2 โครงการใหญ่ คือ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะโครงการ Quick-Win ซึ่งเป็นเฟสแรก
ของโครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนและสามารถรับรู้รายได้ได้อย่างรวดเร็ว และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ รวมแล้ว 1,100 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งประสบการณ์ในการพัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้ากว่า 212 เมกะวัตต์ ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัย และพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยวัสดุการเกษตร พืชพลังงานและขยะอินทรีย์/ขยะชุมชน ความพร้อมทางการเงิน ผู้บริหาร-วิศวกรที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่จะชนะการประมูล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างมั่นคง สำหรับปีนี้บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรโดยบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบัน ACE มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว กำลังการผลิตติดตั้งรวม 212.18 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โครงการที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนาและโครงการในอนาคต ทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนและโรงไฟฟ้าขยะ อันจะส่งผลให้ ACE เติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้ ล่าสุด ACE มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกว่า 11,387 ล้านบาท เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในผู้นำด้านโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดของโลกที่มีความสามารถผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท มีความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพเป็นต้นแบบของโลกเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 14001, ISO 9001 และ OHSAS 18001 อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของโลกในการดำเนินกิจการโดยยึดหลัก ESG (Environmental Social and Governance) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล และเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิด Positive Total Societal Impact (TSI) หรือผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม จากการดำเนินงานของบริษัทฯ อันจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนโดยรวม นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะของ ACE ช่วยลดมลภาวะและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เพื่อป้องกันการเกิด PM2.5 ลดปัญหาขยะชุมชน และช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยทุกคน