“ออริจิ้น” เผยผลดำเนินงานไตรมาสแรกปี 63 กำไร 595 ล้านบาท โชว์ระดับกำไรขั้นต้น 39.9% และกำไรสุทธิ 24.7% หลังรับรู้กำไรจากส่วนแบ่งโครงการร่วมทุนสร้างเสร็จ 2 โครงการ โดยสามารถทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท แจงนับรวมยอดโอนอสังหาฯ เพื่อขายทั้งหมดกว่า 3,394 ล้านบาท ไตรมาส 2 ชู 3 แพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมอัดแคมเปญ เผยครึ่งปีหลังโครงการสร้างเสร็จทยอยโอนเพิ่ม 17,000ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 มีรายได้รวม 2,408 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 595 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพียง 17% เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้ธุรกรรมต่างๆ ชะลอตัว แต่ภาพรวมสามารถทำได้ดีกว่าตลาดที่คาดว่าจะติดลบ 30-40%
อย่างไรก็ดี บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 39.9% และเริ่มรับรู้กำไรจากโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับบริษัท โนมูระเรียลเอสเตท สร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการเป็นครั้งแรก ในไตรมาสนี้ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน และโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง ที่มียอดขายมากกว่า 93% จากมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งทำยอดโอนไปกว่า 1,441 ล้านบาท รับรู้กำไรกิจการร่วมค้ากว่า 141 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%) ซึ่งหากนับรวมรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดนี้ บริษัทสามารถทำได้ถึง 3,394 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และโตเพิ่ม 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับไตรมาส 1/63 เป็นไตรมาสที่มีความท้าทายกับสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ บริษัทยังสามารถผลักดันยอดขายได้ดีจากการปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และสร้างทีม Everyone Can Sell โดยในไตรมาส 1/2563 มียอดขายอยู่ที่ 4,852 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 23% ของเป้ายอดขายทั้งปี โดยเป็นยอดขายที่มาจากกลุ่มโครงการบ้าน ประมาณ 1,682 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าไตรมาส 1/62 อยู่ 775 ล้านบาท คิดเป็น 86% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่กลุ่มบริษัทมีการขยายสัดส่วนโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากการขยายตัวของเครือข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังทำเลเมืองรอบนอกมากขึ้น อีกทั้งลูกค้ากลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และยังมีความผันผวนของอุปสงค์ต่ำกว่าอาคารชุด จึงถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการเพิ่มช่องทางของรายได้
โดยโครงการบ้านจัดสรรของบริษัท ภายใต้แบรนด์บริทาเนียนั้นได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากมีความโดดเด่นด้านการออกแบบทั้งตัวบ้านและรูปแบบโครงการ รวมทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 2 โครงการในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ได้แก่ โครงการแกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา และโครงการบริทาเนีย สายไหม ได้รับการตอบรับที่ดีโดยในไตรมาส 1/63 ทำยอดขายได้กว่า 220 ล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีกราว 3,170 ล้านบาท โดยทั้งนี้คิดเป็นโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 3,733 ล้านบาท จากที่ไตรมาส 1/63 บริษัทเน้นการขายในโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้
“ในปี 63 บริษัทมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก แพลตฟอร์มออนไลน์ การขับเคลื่อนทั้งการขายการโอน การดูแลผู้บริโภคและพนักงานได้แบบ Zero-COVID เราจะรักษามาตรฐานและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถผ่านปีที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ บริษัทยังมีพาร์ตเนอร์ใหม่ คือ บริษัท จีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น (GS E&C) จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มาร่วมพัฒนาโครงการคอนโดนิเนียมใหม่ 2 โครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1.โครงการดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 111 (The Origin Ladprao 111) และ 2.โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 (KnightsBridge Space Rama 4)” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/63 บริษัทมุ่งเน้นแผนการตลาดไปที่กลุ่ม Ready to Move และสินค้ารอขาย (Inventory) ด้วยหลากหลายแคมเปญ เช่น แคมเปญ Keep Your Distance เว้นระยะผ่อน ให้ผู้ซื้ออยู่ฟรีนานสูงสุด 3 ปี ช่วยลดภาระให้ผู้ซื้อได้ในสถานการณ์ COVID-19 พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นๆ กับ 23 โครงการในเครือ แคมเปญ Always Online ใช้ 3 แพลตฟอร์ม ทั้ง LINE OA, Lazada, Shopee อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการหาข้อมูล การจอง การตรวจห้อง ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญต่อเรื่องสุขอนามัย โดยการจัดให้มี Private Visit อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จำเป็นต้องเข้าไปเยี่ยมชมโครงการ
ทั้งนี้ บริษัทจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ COVID-19 อย่างใกล้ชิด และปรับรูปแบบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ และสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าสถานการณ์ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะสดใสกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยบริษัทมีโครงการรอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีก 12 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และบ้านจัดสรรอีก 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแบ็กล็อกขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนเป็นยอดรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านที่จะทยอยสร้างเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีอีก 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุนมูลค่า 5,300 ล้านบาท) ส่งผลให้บริษัทจะมีโอกาสสร้างทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง