เฟรเซอร์สฯ แจงผลการดำเนินงวด 1 ม.ค.-31 มี.ค. กำไร 851 ล้านบาท รายได้รวม 5,090 ล้านบาท ลดลง 10.43% ยอมรับผลกระทบโควิด-19 ฉุดรายได้ลดเผยอสังหาฯ เพื่อขายทำรายได้สูงสุด 3,557 ล้านบาท
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2563 (1 มกราคม-31 มีนาคม 2563) ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,090 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.43 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 7.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถทำกำไรสุทธิได้ 851 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 9.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการขายที่ดินและเงินลงทุนมูลค่า 414 ล้านบาท ควบคู่กับการบริหารต้นทุนทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารลงได้ร้อยละ 6.75
สำหรับรายได้ 5,090 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จาก 1.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรม รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2563 มีรายได้จำนวน 443 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว โดยมีการรับรู้รายได้จากการขายหน่วยทรัสต์ FTREIT และการขายที่ดินในพื้นที่อีอีซีให้แก่กลุ่มไมเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติจีนชั้นนำระดับโลก
ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทฯ มียอดพื้นที่เช่าใหม่สะสม 52,000 ตารางเมตร ชะลอตัวจากสัญญาเช่าระยะสั้นที่หมดอายุ และข้อจำกัดการทำการตลาดภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินผลกระทบต่อลูกค้าหลัก ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32 ของผู้เช่ายังอยู่ในวงจำกัด สำหรับภาพรวมไตรมาสนี้ FPT สามารถรักษาอัตราพื้นที่เช่าได้ที่ร้อยละ 80 โดยพื้นที่โรงงานมีอัตราเช่าเพิ่มสูงถึงร้อยละ 76 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มจากอัตราเช่าร้อยละ 73 ของช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยาและเวชภัณฑ์ พลาสติก โลหะและเครื่องจักร ยังมีความต้องการเช่าพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
2.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บันทึกรายได้ในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 3,557 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงในอัตราร้อยละ 19.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามสภาวะการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV และมาตรการล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยโกลเด้นแลนด์มียอดพรีเซลล์โครงการมูลค่า 7,398 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 จากโครงการที่ดำเนินงานอยู่ทั้งสิ้น 61 โครงการ และมีแบ็กล็อกรอการโอนจำนวน 2,875 ล้านบาท
3.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ มีรายได้เติบโตอยู่ที่ 248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการเพิ่มอัตราค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรด A ของสินทรัพย์ศักยภาพทำเลใจกลางเมือง ทั้งนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจพื้นที่เช่ารีเทลในอาคารสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งมีจำนวนคนเดินห้างลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 กระทั่งภาครัฐได้ออกมาตรการยกระดับการป้องกันโรคระบาด นำไปสู่การปิดให้บริการศูนย์การค้าในเดือนเมษายน 2563 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โกลเด้นแลนด์ได้ดำเนินการมอบความช่วยเหลือให้แก่ผู้เช่าของศูนย์การค้าภายใต้โครงการ “มิตรช่วยมิตร” ด้วยการยกเว้นและลดค่าเช่าของร้านค้าที่ถูกปิดภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น รายได้ลดลงอยู่ที่ 113 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 21.74 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และลดลงร้อยละ 26.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากผลกระทบมาตรการห้ามเดินทางของภาครัฐ
และ 4.ส่วนที่เหลืออีก 482 ล้านบาท เป็นรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เช่น รายได้ Management fee จากการเป็นผู้บริหารสินทรัพย์และผู้จัดการกองทรัสต์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ และรายได้อื่นๆ
"บริษัทฯ ยังคงเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ เราได้เตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับลูกค้าและพนักงานของเรา เช่น การคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าใช้อาคารสถานที่ทุกโครงการ การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง และการให้บริการแอลกอฮอล์เจลฆ่าเชื้อตามบริเวณต่างๆ ตลอดจนการประกาศใช้นโยบายทำงานจากที่บ้าน ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจที่จะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคที่เผชิญอยู่ พร้อมขยายศักยภาพเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท" นายโสภณกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท FPT เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) จำนวนทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 15 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ที่ราคาต่อหุ้น 10.60 บาท โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนกำหนดไว้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2563 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำเงินเพิ่มทุนที่ได้รับไปใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ และเสริมความพร้อมสำหรับโอกาสการลงทุนต่อไป