เอสซีจี แจงไตรมาสที่ 1 ปี 63 รายได้ใกล้เคียงไตรมาสก่อน เผยมุ่งพาสังคม คู่ค้า พนักงาน และธุรกิจสู้วิกฤตโควิด-19 ด้วยความทุ่มเทในการบริหารจัดการความต่อเนื่องในการดำเนินงานเชิงรุก ควบคู่การขานรับมาตรการภาครัฐอย่างเข้มงวด ดึงเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยส่งมอบโซลูชันสินค้าบริการสะดวก-ปลอดภัย เสริมภูมิคุ้มกันกลยุทธ์รับดิสรัปชันที่สร้างมา เร่งคว้าโอกาสใหม่ตอบความต้องการตลาดอย่างรวดเร็ว มั่นใจสถานะทางการเงินยังแข็งแกร่ง พร้อมเตรียมรับความท้าทายในอนาคต
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2563 มีรายได้จากการขาย 105,741 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง ตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่ลดลง แต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,971 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าลดลง
โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 46,120 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อน โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 1,372 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.3 ของยอดขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ทั้งสิ้น 44,859 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออกจากประเทศไทย 24,319 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีมูลค่า 708,931 ล้านบาท โดยร้อยละ 34 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน อนึ่ง ในปี 2562 มีรายได้รวม 458,458.82 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 32,014.28 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 4.08 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 38,329 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง และลดลงร้อยละ 37 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 46,245 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เนื่องจากความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,778 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 113 จากไตรมาสก่อน
ธุรกิจแพกเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 24,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการรวมผลประกอบการ Fajar และ Visy ประเทศไทย รวมถึงการทำงานเชิงรุกในทุกหน่วยงานภายใน เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากไตรมาสก่อน
"ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 เอสซีจีก็เป็นหนึ่งองค์กรซึ่งใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษาผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ให้ใกล้เคียงไตรมาสก่อน แม้สถานการณ์โควิด-19 จะเพิ่งเริ่มส่งผลต่อธุรกิจในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อให้สังคม คู่ค้า พนักงาน และธุรกิจร่วมก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ด้วยความทุ่มเทเชิงรุกและรวดเร็วในการบริหารจัดการความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ เสริมกับการเตรียมความพร้อมด้วยการปรับกลยุทธ์สู้ศึกดิสรัปชันในช่วงที่ผ่านมาอย่างเข้มข้น ภายใต้การขานรับมาตรการภาครัฐเพื่อรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด โดยนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้พนักงานที่สำนักงานกว่าร้อยละ 90 สามารถทำงานได้จากที่บ้าน ขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งมอบโซลูชันสินค้าและบริการต่างๆ ไปยังลูกค้าทุกกลุ่มมีความสะดวกและปลอดภัย ควบคู่กับการมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปได้"
สำหรับธุรกิจแพดเกจจิ้ง สามารถขายสินค้าและบริการด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ได้ตอบโจทย์และทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะจากพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรีและการซื้อสินค้าออนไลน์ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยในการผลิตและการขนส่งบรรจุภัณฑ์ ซึ่งลูกค้าให้ความใส่ใจอย่างมากในสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เร่งพัฒนาช่องทางค้าปลีกออนไลน์ของ SCG HOME ทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ให้เชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพ พร้อมบริการจัดส่งทั่วประเทศ และบริการให้คำปรึกษาเรื่องบ้านผ่านออนไลน์ ลูกค้าจึงเลือกซื้อสินค้าและรับบริการได้สะดวกโดยไม่ต้องออกจากบ้าน รวมทั้งในธุรกิจขนส่งสินค้า ซึ่งเอสซีจี โลจิสติกส์ และเอสซีจี เอ็กซ์เพรส ก็มีมาตรการที่เข้มงวด ตั้งแต่การรับสินค้า การจัดการคลังสินค้า และการจัดส่งสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัย
ส่วนธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ผันผวนและท้าทาย ปรับสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกให้สอดคล้องต่อตลาดที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการเชิงรุกด้านการป้องกันการระบาดของโควิด-19 เพื่อรักษามาตรฐานในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้การส่งมอบสินค้าและบริการแก่ลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
ขณะที่การช่วยเหลือสังคมนั้น เอสซีจีได้นำความเชี่ยวชาญ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีอยู่ไปร่วมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในการเร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ และทันต่อความต้องการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นกำลังสำคัญในการดูแลประชาชน เช่น นวัตกรรมห้องตรวจและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเทคโนโลยีของ SCG HEIM และ Living Solution รวมทั้งนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ โดยธุรกิจเคมิคอลส์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากมูลนิธิเอสซีจีจะได้สนับสนุนงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อนำนวัตกรรมเหล่านี้ไปทยอยส่งมอบให้โรงพยาบาลต่างๆ ที่ขาดแคลนแล้ว ยังมีพลังน้ำใจจากผู้ร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิต่างๆ ที่ช่วยให้ประเทศของเราก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุดอีกด้วย