อินเวสทรี (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการเงินทุนสำหรับธุรกิจรายย่อยไปจนถึงระดับกลาง (SMEs) พร้อมรุกเปิดตลาดในไทย หลังประสบความสำเร็จในอินโดนีเซีย ดึงผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงแบงก์เชื่อมนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ พร้อมประเมินความเสี่ยง ในอัตราดอกเบี้ย 12-15% เตรียมขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.เพื่อขยายบริการเงินทุนรูปแบบใหม่ๆ ในไตรมาส 2 นี้
นายวรกร สิริจินดา ผู้ร่วมก่อตั้งอินเวสทรี ประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายของอินเวสทรีเป็นตัวกลางในการ "จับคู่ ระหว่าง SMEs ที่ต้องการเงินทุนกับนักลงทุน" เนื่องจากมองเห็นความยุ่งยากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ SMEs ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ที่มีคุณภาพ จนต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ และต้องเสียอัตราดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลต้นทุนธุรกิจสูงตามไปด้วย ซึ่งธุรกิจของอินเวสทรี คือ การเชื่อมโยงระหว่างนักลงทุนกับผู้ต้องการเงินทุน รวมถึงทำการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้ขอกู้ และบริหารจัดการการกู้ยืมตั้งแต่การทำสัญญาไปจนถึงการชำระคืนเงินกู้
"เมื่อผู้ประกอบการเหล่านี้ขาดสภาพคล่อง ก็จะส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ปัจจุบันกิจการประเภท SMEs คิดเป็น 95% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทย และมีการจ้างงานกว่า 50% ของธุรกิจทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยอยู่ เราจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของ SMEsในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแหล่งเงินทุน ในขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวกลางให้คนนำเงินออมมาลงทุนเพิ่มโอกาสทางรายได้และอิสรภาพในด้านการลงทุน โดยผู้ขอกู้สามารถกู้ยืมได้ในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม และในขณะเดียวกัน นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่ตัวเองเลือก"
ทั้งนี้ อินเวสทรี เป็น ฟินเทค สตาร์ทอัป (Fin Tech Startup) มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนจะขยายธุรกิจไปประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทย โดยล่าสุด บริษัทอินเวสทรี อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจขนาดใหญ่ ระดับซีรีส์ ซี (Series C) จำนวน 23.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 753 ล้านบาท จากกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันที่สนับสนุนเงินลงทุนแก่สตาร์ทอัป ด้านเทคโนโลยีการเงินชั้นนำของญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย ได้แก่ เอ็มยูไอพี (MUIP) ของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชี่ยล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group, Inc. - MUFG) และบีอาร์ไอ เวนเจอร์ (BRI Ventur) โดยทุนดังกล่าว อินเวสทรีจะนำไปใช้ในการพัฒนาบริการ เพื่อสนับสนุน SMEs ในอินโดนีเซีย และเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายเอเดรียน กูนาดิ ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอ อินเวสทรี กล่าวว่า การได้รับการสนับสนุนในช่วงเวลาที่ท้าทายของเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจและเสริมสร้างความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่าน SMEs ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนช่องว่างทางสินเชื่อประมาณ 430,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเรามองเห็นโอกาสในการลดช่องว่างทางสินเชื่อโดยการสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นี้ ผู้ประกอบการ SMEs ต่างก็ต้องการสินเชื่อไปเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ"
ปัจจุบัน อินเวสทรี ประเทศไทย ใช้เงินทุนของบริษัทให้บริการการกู้เงินแก่ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยใช้ใบแจ้งหนี้การค้าเป็นข้อมูลทางการเงิน ซึ่งเป็นการกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันและยึดถือยอดชำระเงินตามกำหนดบนใบแจ้งหนี้เป็นแหล่งที่มาของเงินในการชำระหนี้คืน โดยผู้กู้จะได้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมระหว่าง 12-15% ต่อปี และในไตรมาส 2 บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตคราวด์ฟันดิ้ง แพลตฟอร์ม (Crowdfunding Platform) ต่อ ก.ล.ต. โดยมีแผนที่จะขยายบริการระดมทุนในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ทางการตลาดมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทบริหารงานด้วยทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยี ที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 20 ปี ในสายงานธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจ และธุรกิจการประเมินความเสี่ยงด้านการเงิน
อินเวสทรี (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการเงินทุนสำหรับธุรกิจรายย่อยไปจนถึงระดับกลาง (SMEs) พร้อมรุกเปิดตลาดในไทย หลังประสบความสำเร็จในอินโดนีเซีย ดึงผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงแบงก์เชื่อมนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ พร้อมประเมินความเสี่ยง ในอัตราดอกเบี้ย 12-15% เตรียมขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.เพื่อขยายบริการเงินทุนรูปแบบใหม่ๆ ในไตรมาส 2 นี้
นายวรกร สิริจินดา ผู้ร่วมก่อตั้งอินเวสทรี ประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายของอินเวสทรีเป็นตัวกลางในการ "จับคู่ ระหว่าง SMEs ที่ต้องการเงินทุนกับนักลงทุน" เนื่องจากมองเห็นความยุ่งยากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ SMEs ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ที่มีคุณภาพ จนต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ และต้องเสียอัตราดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลต้นทุนธุรกิจสูงตามไปด้วย ซึ่งธุรกิจของอินเวสทรี คือ การเชื่อมโยงระหว่างนักลงทุนกับผู้ต้องการเงินทุน รวมถึงทำการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้ขอกู้ และบริหารจัดการการกู้ยืมตั้งแต่การทำสัญญาไปจนถึงการชำระคืนเงินกู้
"เมื่อผู้ประกอบการเหล่านี้ขาดสภาพคล่อง ก็จะส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ปัจจุบันกิจการประเภท SMEs คิดเป็น 95% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทย และมีการจ้างงานกว่า 50% ของธุรกิจทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยอยู่ เราจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของ SMEsในการทำธุรกิจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแหล่งเงินทุน ในขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวกลางให้คนนำเงินออมมาลงทุนเพิ่มโอกาสทางรายได้และอิสรภาพในด้านการลงทุน โดยผู้ขอกู้สามารถกู้ยืมได้ในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม และในขณะเดียวกัน นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่ตัวเองเลือก"
ทั้งนี้ อินเวสทรี เป็น ฟินเทค สตาร์ทอัป (Fin Tech Startup) มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนจะขยายธุรกิจไปประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทย โดยล่าสุด บริษัทอินเวสทรี อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจขนาดใหญ่ ระดับซีรีส์ ซี (Series C) จำนวน 23.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 753 ล้านบาท จากกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันที่สนับสนุนเงินลงทุนแก่สตาร์ทอัป ด้านเทคโนโลยีการเงินชั้นนำของญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย ได้แก่ เอ็มยูไอพี (MUIP) ของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชี่ยล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group, Inc. - MUFG) และบีอาร์ไอ เวนเจอร์ (BRI Ventur) โดยทุนดังกล่าว อินเวสทรีจะนำไปใช้ในการพัฒนาบริการ เพื่อสนับสนุน SMEs ในอินโดนีเซีย และเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายเอเดรียน กูนาดิ ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอ อินเวสทรี กล่าวว่า การได้รับการสนับสนุนในช่วงเวลาที่ท้าทายของเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจและเสริมสร้างความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่าน SMEs ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนช่องว่างทางสินเชื่อประมาณ 430,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเรามองเห็นโอกาสในการลดช่องว่างทางสินเชื่อโดยการสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นี้ ผู้ประกอบการ SMEs ต่างก็ต้องการสินเชื่อไปเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ"
ปัจจุบัน อินเวสทรี ประเทศไทย ใช้เงินทุนของบริษัทให้บริการการกู้เงินแก่ SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยใช้ใบแจ้งหนี้การค้าเป็นข้อมูลทางการเงิน ซึ่งเป็นการกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันและยึดถือยอดชำระเงินตามกำหนดบนใบแจ้งหนี้เป็นแหล่งที่มาของเงินในการชำระหนี้คืน โดยผู้กู้จะได้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมระหว่าง 12-15% ต่อปี และในไตรมาส 2 บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตคราวด์ฟันดิ้ง แพลตฟอร์ม (Crowdfunding Platform) ต่อ ก.ล.ต. โดยมีแผนที่จะขยายบริการระดมทุนในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ทางการตลาดมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทบริหารงานด้วยทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยี ที่มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 20 ปี ในสายงานธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจ และธุรกิจการประเมินความเสี่ยงด้านการเงิน