xs
xsm
sm
md
lg

หลบภัยหุ้น รพ.ประกันสังคม BCH-CGH-RJH หนีโควิด-19

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ASPS เชียร์หุ้นหลบภัยโควิด-19 และปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ต้องลงทุนหุ้นรพ.ประกันสังคม มองกำไรกลุ่มฯจะขับเคลื่อนจากกลุ่มนี้เป็นหลัก แนะนำ CHG BCH และ RJH โดยเฉพาะ CHG จากแรงหนุนทั้งประกันสังคมและปัจจัยเฉพาะตัว มอง รพ.ที่รับประกันสังคมทุกรายในปี63 จะโตโดดเด่น เมื่อเทียบกับฐานกําไรปี 2562 ที่ตํ่ากว่าปกติ คาด CHG BCH และ RJH กำไรโต 21.7%, 17.1%, และ 19.9% ตามลําดับ ส่วนทั้งกลุ่มประเมินปีนี้ โต 6.8% จากแรงหนุนหลักกลุ่มประกันสังคม ขณะ รพ.ที่น่าจะยังเติบโตได้น้อยกว่ากลุ่ม คือ BH และ PR9



บทวิจัยจาก บล.เอเซียพลัส เปิดเผยในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนเดือนมีนาคม 2563 ระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบ้นนี้ ควรหลบเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบายประกันสังคม โดยระบุว่า ภาพใหญ่กลุ่มโรงพยาบาล ยังคาดหวังการเติบโตระยะกลาง-ยาว จาก แนวโน้มประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้ อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะแวดล้อมปัจจุบัน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา และภัยแล้ง กดดันกําลังซื้อผู้บริโภค รวมถึงการเดินทางเข้ามารักษาของผู้ป่วยต่างชาติก็ถูกจํากัดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เชื่อ ว่าน่าจะเริ่มเห็นแรงกดดันต่อกลุ่มรพ. ที่มีกลุ่มเป้าหมายในตลาด กลาง-บน เช่น BH (รพ.บํารุงราษฎร์) และ PR9 (รพ.พระรามเก้า)


ขณะที่กลุ่ม รพ.ระดับกลาง หรือที่มีการกระจายตัวของ กลุ่มเป้าหมายที่ดี เช่น BDMS (รพ.พญาไท+เปาโล), BCH (รพ. เกษมราษฎร์) และ CHG (รพ.จุฬารัตน์) น่าจะอยู่ในสถานะที่ดีกว่า ทั้งนี้ประเด็นหนักที่น่าจะสร้างแรงกดดันต่อ รพ. ที่มีระดับค่ารักษา สูงอีกประการ ได้แก่ การระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มต้นจากในประเทศจีน แต่ปัจจุบันเห็นพัฒนาการเข้าสู่เฟสถัดมา กล่าวคือ เริ่ม มีจํานวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตที่แพร่กระจายไปในหลายประเทศ มากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลลบต่อบรรยากาศการเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) โดยกลุ่มรพ.ที่มีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศสูงๆ (รายละเอียดดังรูป) หลักๆ ได้แก่ BH, BDMS, PR9 และ BCH ที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างประเทศที่ 66%, 31%, 15% และ 10% ของรายได้รวม น่าจะได้รับผลกระทบลดหลั่นลงไปตามลําดับ

รพ.เน้นลูกค้าตะวันออกกลาง BH-BCH-BDMS มีความเสี่ยงเพิ่ม

นอกจากนี้ ในกลุ่มที่เน้นการรักษาลูกค้าจากตะวันออกกลางซึ่งมี กําลังซื้อสูง ยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากกรณีที่ล่าสุดจากการแพร่ ระบาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น คูเวต, โอมาน และยูเอ อี ที่มีรายงานผู้ติดเชื้อแล้ว ประกอบกับในบางประเทศได้เริ่มจํากัดเที่ยวบินเข้า-ออก โดยจากการรวบรวมของฝ่ายวิจัย พบว่ากลุ่มรพ. ที่มีสัดส่วนยอดขายตะวันออกกลางมากสุด คือ BH, BCH และ BDMS อยู่ที่ 25%, 7% และ 5% ตามลําดับ

ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวทําให้ ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับสมมติฐานในการจัดทําประมาณการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยกําหนดให้ 30% ของรายได้ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว ไม่มีการเข้ามาใช้บริการเป็น เวลา 6 เดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรสุทธิของ BH ให้ลดลง 4.6% ขณะที่ BCH + BDMS ยังคงประมาณการ โดย BCH มีผลชดเชยจากการปรับปรุงสมมติฐานรายได้ Adj RW ซึ่งเดิมกําหนดให้ตั้งสํารองในปี 2563 แต่บริษัทรับรู้ใน 4Q62 ไปแล้ว

ขณะที่ BDMS ได้รับประโยชน์จากการปรับเพิ่มรายได้ผู้ป่วยเงินสด ตามแนวโน้มลูกค้าประกันที่ยังเติบโตต่อเนื่อง จึงช่วยชดเชย ผลกระทบจากสมมติฐานผู้ป่วยตะวันออกกลางที่ลดลงดังกล่าว ทั้งนี้ จากการทํา Sensitivities Analysis พบว่า ทุกๆ 1 เดือน ที่ฐาน รายได้จากกลุ่มคนไข้ตะวันออกกลางลดลง 30% จะกดดันกําไรปี 2563 ของ BH, BCH และ BDMS ลดลง 0.4%, 0.2% และ 0.2% และมูลค่าพื้นฐานลดลง 0.5, 0.04 และ 0.05 บาท ตามลําดับ จํานวนผู้ประกันในแต่ละกลุ่ม

รายได้ประกันสังคม ป้อง BCH จากความเสี่ยง

บทวิจัยระบุว่า BCH มีเกราะคุ้มกันปัจจัยเสี่ยงมากสุด แม้กลุ่มการแพทย์จะได้รับแรงดันจากหลายปัจจัยที่เข้ามา แวดล้อมดังกล่าวข้างต้น แต่ผลกระทบที่ได้รับในส่วนของผู้ประกอบการแต่ละรายก็จะไม่เท่ากัน ขณะที่ผู้ประกอบการบาง รายอาจมีแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ เข้ามาชดเชน กลยุทธ์การลงทุน จึงต้องใช้วิธี Selective Buy โดยมีแนวทางในการคัดกรอง ผ่านการ พิจารณาองค์ประกอบดังนี้ 1) มีการพัฒนาสร้างฐานรายได้ประจํา เช่น การร่วมมือกับตัวแทน ประกันชีวิต และการทําสัญญาเป็นรายบริษัท โดยกลยุทธ์ดังกล่าว BDMS ถือเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นมากสุด โดยมีสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ ราว 40% ของรายได้ ช่วยลดผลกระทบที่จากรายได้ส่วนอื่นที่มี ความอ่อนไหวเช่นกลุ่มผู้ป่วยเงินสดที่ 54% ของรายได้ ( ผู้ป่วย ต่างชาติบางส่วนชําระเป็นเงินสด) ส่วน BCH มีสัดส่วนคนไข้ ประกันชีวิต 32.8% ตามด้วย PR9 ที่มีสัดส่วน 25% ของรายได้ 2) มีฐานรายได้จากประกันสังคม ซึ่งได้รับคงที่ตามรายหัวที่ตกลง ไว้กับประกันสังคมในแต่ละปีทั้งจํานวนผู้ประกันตนและอัตราที่ ประกันสังคมจะจ่าย ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มรพ.ขนาด กลาง BCH, CHG, RJH มีรายได้ประกันสังคม 33.2%, 31.7% และ 43.2% ตามลําดับ หากรวมสัดส่วนรายได้ผันผวนตํ่า (ประกันสังคม+ประกันสุขภาพ+ สัญญาบริษัท) พบว่า BCH มีสัดส่วนรายได้สูงสุดที่ราว 66%


รพ.รับประกันสังคมทุกราย รายได้โตเด่นปี 63

ทั้งนี้การมีฐานรายได้ในกลุ่มประกันสังคม นอกจากจะช่วยลดความผันผวนแล้ว ยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตปี 2563 อีกด้วย เหตุเพราะสํานักงานประกันสังคม (SSO) ประกาศเพิ่มงบฯค่ารักษาพยาบาลต่อคน เฉลี่ย 9.7% มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.63 แบ่งเป็น 1) ค่ารักษาในส่วนเหมาจ่ายต่อคน ปรับขึ้น 9.3%, 2) 26 โรคเรื้อรัง ปรับขึ้น 1.3% และ 3) ปรับเพิ่มงบประมาณรวมในส่วนของผู้ป่วยโรคที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) เพิ่มขึ้นจากเดิม 16.6% โดยแม้ยังได้รับเงิน 12,800 บาทต่อ RW (RW คือ ระดับความรุนแรงของโรค) งบประมาณรวมที่สูงขึ้นทําให้ประกันสังคม สามารถจ่ายเงินส่วนนี้ได้เต็มจํานวน ลดความเสี่ยง รพ.จะต้อง กลับรายได้ในส่วนนี้ออกเหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา


คาดว่า รพ.ที่รับประกันสังคมทุกรายในปี 2563 น่าจะมีการเติบโตโดดเด่น เมื่อเทียบกับฐานกําไรปี 2562 ที่ตํ่ากว่าปกติ เนื่องจากการ ปรับลดค่า Adj Rw. งวด 4Q62 โดยภายใต้ประมาณการปัจจุบัน พบว่า รพ.ประกันสังคมทั้ง 3 แห่ง คือ CHG, BCH และ RJH คาดกําไรปี 2563 เติบโต 21.7%, 17.1%, และ 19.9% ตามลําดับ จํานวนผู้ประกันในแต่ละกลุ่ม


ทั้งนี้ ประเมินความเสี่ยงการแข่งขันจํากัด สําหรับสถานการณ์เรื่องการแข่งขัน แม้ตัวเลขจํานวนเตียงจะเพิ่มขึ้นจากการขยายกําลังการให้บริการของผู้ประกอบการ แต่ ฝ่ายวิจัยยังไม่ให้นํ้าหนักว่าจะทําให้ภาวะการแข่งขันโดยภาพรวม รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้เพราะจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า ในปี 2565 เตียงจดทะเบียนรพ.เอกชน จะเพิ่มขึ้นราว 3 พันเตียง จากฐานปัจจุบันราว 3.6 หมื่นเตียง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะตกไปอยู่กับกลุ่มรพ.ระดับกลาง-เล็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีจุดเด่นต่าง จากรพ.อื่น และไม่มีหมอแม่เหล็ก

ขณะที่ รพ.ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา เชื่อ ว่ายังมีศักยภาพในการแข่งขันได้ เนื่องจากเป็นกลุ่มรพ.เครือข่าย ขนาดใหญ่ (BDMS, BCH และ CHG) รวมถึงเป็นผู้นําในพื้นที่ตั้งของตัวเอง+มีฐานลูกค้าเฉพาะตัว (BH, PR9 และ RJH) อยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ BDMS ประกาศทําคําเสนอซื้อหุ้น BH ทั้งหมด (ปัจจุบัน ถือหุ้น 24.92%) ที่ราคา 125 บาท/หุ้น เทียบเท่า PER’63 ที่ 24.5 เท่า และเป็นราคาที่ตํ่ากว่ามูลค่าพื้นฐานฝ่ายวิจัย ถือเป็นราคาเสนอซื้อที่ไม่สูง อาจทําให้มีผู้ที่มาเสนอขายไม่มาก อีกทั้งในมุมของผู้บริหาร BDMS ก็ยังไม่ได้คาดหวัง Synergy จากดีลนี้อย่างมี นัยฯ จึงเป็นไปได้ที่อาจได้หุ้นจากการทําคําเสนอซื้อรอบนี้ไม่มาก จนถึงขนาดที่ต้องจัดทํางบการเงินรวม เท่าตลาด ชอบ CHG, BCH และ BDMS

คาดกำไรกลุ่มโรงพยาบาล ปีนี้โต 6.8%

ประเมินกําไรกลุ่ม รพ. ปี 2563 เติบโต 6.8% โดยจะมีแรงหนุนหลัก จากกลุ่มรพ.ประกันสังคม (BCH, CHG และ RJH) ที่จะโดดเด่น ขณะที่กลุ่มรพ.ที่น่าจะยังเติบโตได้น้อยกว่ากลุ่ม คือ BH และ PR9 ภาพรวมแม้กําไรกลุ่มฯ ปี 2563 จะเด่นกว่ากําไรตลาด แต่เชื่อว่า สะท้อนอยู่ในดัชนีกลุ่ม YTD ที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดไปแล้ว คงนํ้าหนักลงทุน เท่าตลาด Top picks เลือก CHG(FV@B2.98) จากแรงหนุนรายได้ SSO + ปัจจัยเฉพาะตัวการเก็บเกี่ยวประโยชน์ จากรพ.ใหม่ 2 แห่ง เข้าสู่จุดคุ้มทุน รองมายังชอบ BCH (FV@B20.3) และ BDMS (FV@B28) จากฐานธุรกิจที่มั่นคง พร้อมต่อยอด


กำลังโหลดความคิดเห็น