“ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์” วางเป้าปี 63 โต 15% จับมือกับพันธมิตรจากจีน เดินหน้าดีลลูกค้าสหรัฐอเมริกาเสริมพอร์ต สนับสนุนรายได้ - กำไรปีนี้เติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ เน้นเรื่องคุณภาพ ต้นทุนการผลิต นำร่องร่วมกับพันธมิตรจีน เน้นเพิ่มการเติบโตด้าน Smart Devices และผลิตภัณฑ์ IoT สอดรับยุค Disruptive Technology เผยผลประกอบการปี 62 รายได้ 2,709 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 72.2 ล้านบาท ด้านบอร์ดชงจ่ายปันผลหุ้นละ 0.14 บาท
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิต
และจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่าแผนธุรกิจปี 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 2562 โดยมั่นใจว่าจะเป็นปีที่ดีของ L&E ผลจากการเลื่อนส่งมอบงานจากปีก่อนหน้ามาเป็นปีนี้ เช่น งานสนามบินสุวรรณภูมิอาคารเทียบเครื่องบินรอง และ งานโครงการรัฐสภา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีงานโครงการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ LED ของรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มโครงการการได้ในปีนี้ รวมทั้งงานของภาคเอกชนที่ยังคงมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีใหม่นี้ บริษัทฯ คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือกับพันธมิตรจากจีน ในการผลิตสินค้าเพื่อขายให้กับลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่าง และอุปกรณ์อัจฉริยะที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขายได้ในช่วงกลางปีนี้ และมีการรับรู้รายได้ในช่วงต้นไตรมาสที่ 3/2563 สนับสนุนให้บริษัทฯ มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นราว 100-150 ล้านบาทต่อเดือน เมื่อรวมรายได้ส่วนนี้และงานที่มีอยู่ในมือจากงานโครงการของภาครัฐบาลและเอกชนที่เริ่มขับเคลื่อนเดินหน้าต่อ จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
L&E ได้ดำเนินธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ มานานกว่า 17 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา โมเดลธุรกิจของบริษัทฯ จะเป็นการเน้นด้านดีมานด์ของธุรกิจ โดยใช้โมเดล “Total Lighting Solution Provider” ซึ่งหมายความว่าลูกค้าต้องการแสงสว่างประเภทใด เราก็จัดตอบสนองหาสินค้าที่เหมาะสมรวมถึงการออกแบบให้ แต่ในปี 2563 นี้ เราได้ขยายเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมา เพื่อเน้นด้าน Supply ของธุรกิจ โดยใช้โมเดล “Efficient Value Chain Management” โดยเน้นการลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิต
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,709 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 214 ล้านบาท หรือลดลง 7% เป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลง และการชะลอโครงการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของรัฐจากของเดิมมาเป็นผลิตภัณฑ์ LED เพื่อประหยัดพลังงาน รวมทั้งผลจากการเลื่อนส่งมอบงานโครงการบางส่วนไปรับรู้รายได้ในปี 2563 นอกจากนี้สงครามการค้าจีน-อเมริกาที่ยังคงยืดเยื้อออกไป ได้ส่งผลให้มีสินค้าจากจีนจำนวนมากทะลักเข้ามาในประเทศไทย ทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้นและราคาสินค้าปรับตัวลดลง และมีผลกระทบต่อรายได้ของงานขายส่ง/ขายปลีก ส่วนงานส่งออกไปต่างประเทศนั้นได้ปรับตัวลดลง เพราะประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด 72.2 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 44.7 ล้านบาท หรือลดลง 38% แต่ถ้าหักเงินตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่จำนวน 23.7 ล้านบาทแล้ว (6.3 ล้านบาท เป็นการปรับปรุงต้นทุนสินค้า และ 17.4 ล้านบาท เป็นการสำรองค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) กำไรสำหรับงวดจะลดลง 21.0 ล้านบาท หรือลดลง 18% เป็นผลจาก กำไรขั้นต้นรวมรายได้อื่นลดลง 22.0 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการเลื่อนส่งมอบงานโครงการบางส่วนออกไปรับรู้รายได้ในปี 2563 และการชะลอโครงการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของรัฐจากของเดิมมาเป็นผลิตภัณฑ์ LED เพื่อประหยัดพลังงาน รวมทั้งราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 10.8 ล้านบาท สาเหตุใหญ่มาจากการปรับเงินเดือนประจำปี ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 11.6 ล้านบาท และส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบ 0.2 ล้านบาท
บริษัทฯ ให้ความสําคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้
เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แม้ผลประกอบการปี 2562 จะลดลง แต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นสมควรนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 พิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.14 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 5 พ.ค. 2563 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 22 พ.ค. 2563 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 28 เม.ย. 63 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว