GULF-BGRIM เตรียมแผนรับมือภัยแล้ง ยันไม่กระทบโรงไฟฟ้า พร้อมให้บริการภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ขณะที่ด้านรายได้นั้นจะไม่มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลก
บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) แจ้งว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ลดการใช้น้ำลง 10% เพื่อบรรเทาต่อความกังวลเรื่องสถานการณ์น้ำแล้งซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงโรงไฟฟ้านั้น ในด้านของบริษัทซึ่งมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้ามาเป็นเวลายาวนานกว่า 20 ปี และได้ผ่านวิกฤตน้ำแล้งมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงได้เตรียมความพร้อมมารับสถานการณ์มาตั้งแต่ต้นปี 62 ทำให้มีความมั่นใจว่าสถานการณ์น้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มบริษัท
ทั้งนี้ ในปี 58 ซึ่งสถานการณ์น้ำในแม่น้ำและเขื่อนต่างๆ อยู่ในระดับวิกฤตกว่าปัจจุบัน โรงไฟฟ้าในกลุ่มบริษัท ยังสามารถบริหารจัดการการใช้น้ำในกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้เป็นปกติ สำหรับสถานการณ์น้ำในปัจจุบันนั้น บริษัทได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ปี 62 โดยได้ร่วมหารือกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงจัดหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่โรงไฟฟ้าตั้งอยู่ ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายมีความมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมและโรงงานต่างๆ จะร่วมกันบริหารจัดการน้ำได้อย่างเพียงพอไปจนถึงฤดูฝน
สำหรับการเตรียมความพร้อมภายในโรงไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้าได้มีการทยอยสำรองน้ำในบ่อเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าจนมีปริมาณน้ำสำรองเต็มความจุบ่อในทุกโครงการ อีกทั้งยังได้ดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำสำรองอื่นๆ ในพื้นที่นอกโรงไฟฟ้าอีกด้วย
นอกเหนือจากเรื่องการบริหารจัดการน้ำดังกล่าวแล้ว โรงไฟฟ้าเอกชนรายย่อย (SPP) ของกลุ่มบริษัท ยังสามารถขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 63 บริษัทยังมีแผนที่จะขายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% ด้วยโครงสร้างรายได้ที่มั่นคงจากทั้งภาครัฐและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ประกอบกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของกลุ่มบริษัท บริษัทจึงมีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการของกลุ่มบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบันด้วยมาตรการจัดการน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตของโรงไฟฟ้าตามมาตรฐานสากล ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและวางแผนการบริหารจัดการน้ำร่วมกันกับทุกนิคมอุตสาหกรรมมาโดยตลอด มั่นใจสามารถผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่มีคุณภาพสูงได้อย่างต่อเนื่อง รองรับความต้องการที่แข็งแกร่งจากฐานลูกค้าชั้นนำระดับโลก และยังมีลูกค้าใหม่ทยอยเข้ามาทุกไตรมาสทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากภาคอุตสาหกรรมยังคงมีความแข็งแกร่ง
บริษัทมีมาตรการและแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด ด้วยมีจุดมุ่งหมายในการใช้และรักษาทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยน้ำส่วนใหญ่ที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแบบ SPP ใช้ในกระบวนการผลิตนั้น จะเป็นการใช้น้ำชนิดหมุนเวียน หรือน้ำทิ้งจากโรงงานที่ผ่านการบำบัดหรือปรับคุณภาพแล้ว ประกอบกับบริษัทได้วางแผนการบริหารจัดการกระบวนการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้บริษัทวางแผนการใช้น้ำร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และได้รับการยืนยันว่ามีการสำรองน้ำในบ่อกักเก็บน้ำในนิคมอุตสาหกรรมมีระดับที่เพียงพอต่อการเดินเครื่องไปจนถึงช่วงฤดูฝน มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถให้บริการและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกนั้น มากกว่า 70% จากรายได้ของบริษัทมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับหน่วยงานของรัฐบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาว 20-25 ปี ทำให้ไม่มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือมาจากการจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมจากทั้งในประเทศไทยและเวียดนามนั้น ก็ยังมีแนวโน้มปริมาณการใช้ไฟที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากฐานลูกค้าชั้นดีระดับโลกที่มาจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้ารายใหม่จากภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องรวม 25 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 62 และมีการเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติมอีกรวม 15 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเข้ามาในช่วงครึ่งแรกของปี 63 นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังมีโอกาสขยายฐานลูกค้าไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมชั้นนำอีกกว่า 1,000 รายในนิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่
ปัจจุบันมีโครงการในมือทั้งหมด 57 โครงการ ทั้งที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนา รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 3,424 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตจากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 2,896 เมกะวัตต์ จาก 46 โครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานลมบ่อทองขนาด 16 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 39 เมกะวัตต์ในประเทศกัมพูชา ที่มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจในการขยายธุรกิจโดยยึดหลักการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนไปสู่เป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระดับไม่ต่ำกว่า 5,000 เมกะวัตต์ภายในปี 65 จากทั้งการพัฒนาโครงการใหม่ และการควบรวมกิจการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาหลายโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทยอยสรุปได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป ในส่วนของโครงการใหม่นั้นได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์ มาอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะทยอยมีความคืบหน้าในปีนี้เช่นกัน