"สิงห์ เอสเตท" เปิดแผนระยะยาว 5 ปี ลุยลงทุน 3 ธุรกิจหลัก เล็งผุดที่พักอาศัย 30 โครงการ 37,500 ล้านบาท ทุ่ม 8,500 ล้านบาท ขยายพื้นที่สำนักงานเช่า 300,000 ตร.ม. พร้อมวางงบ 22,000 ล้านบาท เทกโอเวอร์และพัฒนาโรงแรมใหม่เพิ่ม 40 โรงแรม เร่งขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมตามเป้า 80 แห่ง แจงรายได้ปี 62 ต่ำเป้า 30% เผยแผนปี 63 เปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท วางเป้ารายได้ทั้งกลุ่ม 20,000 ล้านบาท
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า ได้เตรียมงบลงทุนระยะยาวไว้ 68,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอาคารสำนักงานเช่า และธุรกิจโรงแรม โดยในระยะ 5 ปีแรกจะขยายการลงทุนในธุรกิจที่พักอาศัย จำนวน 30 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 37,500 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ สำนักงานเช่า 4 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่เช่าให้ได้ 300,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ตามเป้าหมาย ส่วนในธุรกิจโรงแรมจะใช้งบลงทุน 22,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจโรงแรมให้ครบ 80 แห่ง
ทั้งนี้ ในปี 63 สิงห์ฯ มีแผนธุรกิจลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยใหม่เพิ่ม 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้ สิงห์เอสเตทฯ และบริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ และเปิดตัวแบรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 3 โครงการ โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ดังกล่าว เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มีความครอบคลุมในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นจับกลุ่มตลาดระดับบนเพียงกลุ่มเดียว
ส่วนในธุรกิจสำนักงานเช่า ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่าที่อยู่ระหว่างการบริหาร 140,000 ตร.ม. และเพื่อเป็นการขยายเพิ่มพื้นที่เช่าให้เป็นไปตามเป้าหมาย 300,000 ตร.ม.ภายในปี 67 ล่าสุด สิงห์ฯ ได้เข้าซื้ออาคารเมโทรโพลิส ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ มีพื้นที่ 14,000 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุน 1,725 ล้านบาท และยังมีแผนจะซื้อเพิ่มอีก 4 โครงการ ใหม่ โดยได้ตั้งงบลงทุนไว้ 8,500 ล้านบาท ซึ่งนับรวมการพัฒนาโครงการ S โอเอซิส สำนักงานแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วย
สำหรับธุรกิจโรงแรม ตามแผนระยะยาว ในปี 68 ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโต 15% ต่อปี จากการขยายพอร์ตโรงแรมในมือ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 39 แห่ง เพิ่มเป็น 80 แห่ง ภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ล่าสุด ในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการครอสโร้ดส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรก ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมองหา โรงแรมที่มีศักยภาพและอยู่ในทำเลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าเทกโอเวอร์ ตามแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ซึ่งตั้งงบประมาณในการลงทุนไว้ 22,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในปีนี้สิงห์ฯ ก็มีแผนจะขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนเพื่อรองรับ 3 ธุรกิจหลัก ในทุกพื้นที่ที่บริษัทเข้าไปลงทุน ซึ่งในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 63 นี้
นายนริศ กล่าวว่า หากสามารถดำเนินการได้ตามแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี จะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนของรายได้ของกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่พักอาศัยอยู่ที่ 50% และมาจากกลุ่มธุรกิจสำนักงานเช่ารวมกับธุรกิจโรงแรมอีก 50% ส่วนในปี 63 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรายได้รวม 20,000 บาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสำนักงานเช่า 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 6,500-7,000 ล้านบาท และเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย 9,000 ถึง 12,000 ล้านบาท โดย ณ ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกรอรับรู้รายได้จากคอนโดฯ ในมือ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้
"สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวม 16,000 ล้านบาท จาก 3 ธุรกิจหลัก แต่ปัจจัยลบที่เข้ามากระทบตลาด และเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้ บริษัทมีรายได้ต่ำกว่าเป้า 30% ซึ่งในส่วนของรายได้ที่หายไปนี้เกิดจากการเลื่อนเปิดขายโครงการและการรับโอนห้องชุด ทำให้ต้องยกยอดมาทยอยรับรู้ ในปีนี้แทน"
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า ได้เตรียมงบลงทุนระยะยาวไว้ 68,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอาคารสำนักงานเช่า และธุรกิจโรงแรม โดยในระยะ 5 ปีแรกจะขยายการลงทุนในธุรกิจที่พักอาศัย จำนวน 30 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 37,500 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ สำนักงานเช่า 4 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่เช่าให้ได้ 300,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ตามเป้าหมาย ส่วนในธุรกิจโรงแรมจะใช้งบลงทุน 22,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจโรงแรมให้ครบ 80 แห่ง
ทั้งนี้ ในปี 63 สิงห์ฯ มีแผนธุรกิจลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยใหม่เพิ่ม 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้ สิงห์เอสเตทฯ และบริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ และเปิดตัวแบรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 3 โครงการ โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ดังกล่าว เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้มีความครอบคลุมในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นจับกลุ่มตลาดระดับบนเพียงกลุ่มเดียว
ส่วนในธุรกิจสำนักงานเช่า ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่าที่อยู่ระหว่างการบริหาร 140,000 ตร.ม. และเพื่อเป็นการขยายเพิ่มพื้นที่เช่าให้เป็นไปตามเป้าหมาย 300,000 ตร.ม.ภายในปี 67 ล่าสุด สิงห์ฯ ได้เข้าซื้ออาคารเมโทรโพลิส ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ มีพื้นที่ 14,000 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุน 1,725 ล้านบาท และยังมีแผนจะซื้อเพิ่มอีก 4 โครงการ ใหม่ โดยได้ตั้งงบลงทุนไว้ 8,500 ล้านบาท ซึ่งนับรวมการพัฒนาโครงการ S โอเอซิส สำนักงานแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วย
สำหรับธุรกิจโรงแรม ตามแผนระยะยาว ในปี 68 ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโต 15% ต่อปี จากการขยายพอร์ตโรงแรมในมือ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 39 แห่ง เพิ่มเป็น 80 แห่ง ภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ล่าสุด ในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการครอสโร้ดส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรก ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมองหา โรงแรมที่มีศักยภาพและอยู่ในทำเลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพื่อเข้าเทกโอเวอร์ ตามแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ซึ่งตั้งงบประมาณในการลงทุนไว้ 22,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในปีนี้สิงห์ฯ ก็มีแผนจะขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนเพื่อรองรับ 3 ธุรกิจหลัก ในทุกพื้นที่ที่บริษัทเข้าไปลงทุน ซึ่งในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 63 นี้
นายนริศ กล่าวว่า หากสามารถดำเนินการได้ตามแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี จะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนของรายได้ของกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่พักอาศัยอยู่ที่ 50% และมาจากกลุ่มธุรกิจสำนักงานเช่ารวมกับธุรกิจโรงแรมอีก 50% ส่วนในปี 63 นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดรายได้รวม 20,000 บาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสำนักงานเช่า 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 6,500-7,000 ล้านบาท และเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย 9,000 ถึง 12,000 ล้านบาท โดย ณ ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกรอรับรู้รายได้จากคอนโดฯ ในมือ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้
"สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวม 16,000 ล้านบาท จาก 3 ธุรกิจหลัก แต่ปัจจัยลบที่เข้ามากระทบตลาด และเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้ บริษัทมีรายได้ต่ำกว่าเป้า 30% ซึ่งในส่วนของรายได้ที่หายไปนี้เกิดจากการเลื่อนเปิดขายโครงการและการรับโอนห้องชุด ทำให้ต้องยกยอดมาทยอยรับรู้ ในปีนี้แทน"