ธ.ก.ส.ออกมาตรการช่วยเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง โดยขยายเวลาชำระหนี้เดิมออกไป 2 ปี พร้อมจัดวงเงินสินเชื่อ 5 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก เพื่อสร้าง พัฒนา และปรับปรุงแหล่งน้ำไว้ใช้บรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤต เผยที่ผ่านมา ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยธรรมชาติไปแล้วกว่า 9 หมื่นราย เป็นเงิน 5.9 พันล้านบาท
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร โดยมีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้น มีประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว 20 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน นครพนม มหาสารคาม บึงกาฬ หนองคาย บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ อุทัยธานี นครราชสีมา อุตรดิตถ์ ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย สุพรรณบุรี พะเยา และสกลนคร
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและคลายความกังวลในเรื่องภาระหนี้สินของเกษตรกร คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ซึ่งมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. เร่งดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาหนี้สินเดิม โดย ธ.ก.ส.ขยายเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี 2563 เพื่อเป็นเงินทุนสนับสนุนในการจัดหา สร้าง/พัฒนา และปรับปรุงแหล่งน้ำไว้ใช้ในยามวิกฤต และลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท โดยเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งสามารถกู้เพื่อนำไปลงทุนได้รายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป คิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR-2 (ปัจจุบัน MRR= 6.875) กำหนดชำระคืนไม่เกิน 10 ปี ระยะเวลาสนับสนุนสินเชื่อ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563
นายอภิรมย์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้มอบหมายให้พนักงานในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งออกเยี่ยมเยียนให้กำลังใจเกษตรกรลูกค้า และสำรวจความเสียหาย พร้อมจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค จัดหาถุงยังชีพในรายที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น และในกรณีที่เกษตรกรทำประกันภัยพืชผล จะได้รับชดเชย ข้าวนาปี 1,260 บาทต่อไร่ ข้าวโพด 1,500 บาทต่อไร่ นอกจากนั้น ยังมีมาตรการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เช่น สินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ซึ่งผลการดำเนินงาน ณ 27 มกราคม 2563 จ่ายสินเชื่อไปแล้วเป็นเงิน 3,890 ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 79,676 ราย สินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ประสบภัย จ่ายสินเชื่อไปแล้ว เป็นเงิน 2,060 ล้านบาท จำนวนเกษตรกร 10,831 ราย หากเกษตรกรท่านใดได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและมีความประสงค์ต้องการใช้สินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพหรือเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปีใน 6 เดือนแรก ส่วนเดือนที่ 7 คิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR (ปัจจุบัน MRR= 6.875) และสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ประสบภัย วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินกู้ 5,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MRR-2 (ปัจจุบัน MRR= 6.875) กำหนดชำระไม่เกิน 15 ปี สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาในพื้นที่ประสบภัย