หุ้นไทยปิดลบ 4.15 จุด กังวลไวรัสโคโรนาระบาด รวมถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่มีแนวโน้มล่าช้าก็อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนของหลายตลาดหุ้นภูมิภาค ทำให้นักลงทุนขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนแนวโน้มการซื้อขายสัปดาห์หน้าคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งตัวรอปัจจัยใหม่เข้ามา
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 ม.ค.) ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,569.55 จุด ลดลง 4.15 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.26% มูลค่าการซื้อขาย 47,514.18 ล้านบาท โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบ ดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,576.68 จุด และทำระดับต่ำสุด 1,567.07 จุด
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พบผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่มีแนวโน้มล่าช้าก็อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการทยอยประกาศงบการเงินไตรมาส 4/62 ของบจ.ที่จะเริ่มออกมาในสัปดาห์หน้าก็มีแนวโน้มที่ไม่ดีมากนัก ประกอบกับไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน และเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนของหลายตลาดหุ้นภูมิภาค ทำให้นักลงทุนขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์
ส่วนแนวโน้มการซื้อขายสัปดาห์หน้าคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งตัวรอปัจจัยใหม่เข้ามา โดยมองแนวรับบริเวณ 1,555-1,560 จุด และแนวต้านที่ 1,585 จุด ขณะที่ตลาดยังติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างใกล้ชิด ,การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ แม้คาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ย แต่ก็รอดูการส่งสัญญาณเศรษฐกิจในระยะต่อไป ,การแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่มีกำหนดการในวันที่ 31 ม.ค.นี้ รวมถึงติดตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งหากดีดกลับขึ้นมาก็น่าจะเป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
ส่วนในประเทศจับตาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/62 ของ SCC และ PTTEP ตลอดจนการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ว่าจะมีการพิจารณายกเว้นจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (วีซ่า) ให้กับนักท่องเที่ยวจากจีน และอินเดียหรือไม่
ด้านประเภทนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 680.47 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 587.86 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,074.91 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,167.52 ล้านบาท