ผู้ถือหุ้นกู้ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM รุ่นที่ 2 วงเงิน 319.50 ล้านบาท ส่วนใหญ่คงเฝ้ารอคอยว่า ครบกำหนดชำระคืนหนี้ในวันที่ 2 กรกฎาคมปีหน้า จะได้รับการชำระหนี้คืนหรือไม่ แต่ผู้ถือหุ้นกู้บางคนกำลังได้รับชำระคืนหนี้หุ้นกู้ครบทั้งจำนวน พร้อมดอกเบี้ย 7.25% บวกเบี้ยปรับการผิดนัดชำระหนี้อีก 2%
เพราะเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้ตัดสินให้ บริษัท พีพี ไพร์ม ชำระคืนหนี้หุ้นกู้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งยื่นฟ้องแพ่ง หลังจากบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562
การฟ้องร้องเกิดขึ้นก่อนที่ PPPM จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เลื่อนการชำระหนี้ออกไปเป็นวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 โดย PPPM จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 7.75% ต่อปี จากเดิมจ่ายดอกเบี้ยอัตรา 7.25%
แม้ผู้ถือหุ้นกู้ส่วนใหญ่จะลงมติให้เลื่อนไถ่ถอนหุ้นกู้ แต่ไม่สามารถบังคับใช้กับผู้ถือหุ้นกู้ที่ฟ้องเรียกชำระหนี้ก่อนการลงมติได้
วันที่ 2 สิงหาคม 2562 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ เมื่อ PPPM ไม่ไถ่ถอน ถือว่าผิดนัดชำระหนี้แล้ว และธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ แต่ไม่ฟ้องเรียกชำระหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จึงยื่นฟ้องด้วยตัวเอง จนชนะคดี
ศาลตัดสินให้ PPPM ต้องคืนหนี้หู้นกู้ พร้อมดอกเบี้ย 9.25% ให้ผู้ถือหุ้นกู้ที่ยื่นฟ้องหลายราย
ผู้ถือหุ้นกู้ส่วนใหญ่ต้องรอจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคมปี 2563 จึงจะครบกำหนดการไถ่ถอน ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอีกหรือไม่ เพราะฐานะการดำเนินงานของ PPPM ยังไม่ดี โดยขาดทุนติดต่อกันหลายปี และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ขาดทุน 802.92 ล้านบาท
การที่ผู้ถือหุ้นกู้ PPPM ฟ้องเรียกชำระหนี้ หลังบริษัทผิดนัดชำระหนี้ จนศาลตัดสินให้ PPPM ต้องชำระหนี้ โดยไม่ต้องรอถึงเดือนกรกฎาคมปีหน้า ถือเป็นกรณีตัวอย่างของผู้ถือหุ้นกู้ที่ถูกปฏิเสธการไถ่ถอน
การฟ้องเรียกให้ชำระหนี้หุ้นกู้ เมื่อผู้ออกหุ้นกู้ไม่ชำระหนี้เมื่อครบกำหนด เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ผู้ถือหุ้นกู้ PPPM ส่วนใหญ่ไม่ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องเรียกชำระหนี้หุ้นกู้ PPPM ก่อนจะชนะคดี มีกระบวนการที่ยุ่งยากเหมือนกัน เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับผู้ถือหุ้นกู้ที่แสดงเจตนารมณ์ฟ้องเท่าใดนัก
ตามหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ ระบุให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เป็นผู้ฟ้อง และหากธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ฟ้อง จะต้องออกหนังสือชี้แจงว่า จะไม่ฟ้อง เพื่อยื่นให้ศาลพิจารณา ศาลจึงจะรับคำฟ้องของผู้ถือหุ้นกู้
แต่ธนาคารไทยพาณิชย์อิดออดที่จะออกหนังสือยืนยันว่า จะไม่ฟ้องเรียกชำระหนี้หุ้นกู้ PPPM จนผู้ถือหุ้นกู้ต้องเดินทางร้องเรียนธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์จึงยอมออกหนังสือยืนยันว่า จะไม่ฟ้อง PPPM ศาลจึงเริ่มกระบวนการพิจารณาคำฟ้อง ก่อนจะตัดสินให้ PPPM ต้องชำระหนี้ให้ผู้ถือหุ้นกู้ที่ฟ้อง โดยไม่ต้องรอจนถึงเดือนกรกฎาคมปีหน้า
ปีนี้มีการออกหุ้นกู้ระดมทุนเป็นจำนวนมาก และช่วงปลายปีบริษัทจดทะเบียนบางแห่งเสนอขายหุ้นกู้กันอยู่ โดยปีหน้าเชื่อว่า จะมีบริษัทจดทะเบียนแห่ออกหุ้นกู้กันอีก และมีโอกาสที่หุ้นกู้จะมีปัญหาเช่นเดียวกับปีนี้ โดยการผิดนัดชำระหนี้
หุ้นกู้ PPPM เป็นหนึ่งในหุ้นกู้ที่มีปัญหา และไม่รู้ว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่ขอยืดออกไปเป็นวันที่ 2 กรกฎาคมปีหน้า ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับการชำระหนี้คืนหรือไม่
แต่ ผู้ถือหุ้นกู้ที่ใช้สิทธิปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ฟ้องเรียกชำระหนี้คืน กำลังจะได้รับการชำระหนี้คืนก่อนผู้ถือหุ้นกู้รายอื่นๆ
คดีฟ้องบังคับให้ PPPM ต้องชำระหนี้คืน จึงเป็นกรณีตัวอย่างของนักลงทุนที่รู้จักใช้สิทธิปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งนักลงทุนทั่วไปควรศึกษาเป็นบทเรียน
หุ้นกู้บริษัทไหนผิดนัดชำระหนี้ ชิงฟ้องทันที
แต่ที่สำคัญ ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้บริษัทจดทะเบียนใด ดูฐานะการเงินบริษัจดทะเบียนแห่งนั้นให้รอบคอบก่อนว่า จะมีปัญหาการเบี้ยวหนี้หรือไม่
จะได้ไม่เสียหายเหมือนหุ้นกู้ PPPM และหุ้นกู้บริษัทจดทะเบียนอีกหลายแห่งที่ผิดนัดชำระหนี้