รองนายกรัฐมนตรีจีบฮ่องกงลงทุนอีอีซี ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสู่ CLMVT หวังเชื่อมตลาดทุนไทย-ฮ่องกง เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงยิ่งใหญ่ติดอันดับโลก มีมูลค่าซื้อขายสูงมาก ขณะที่ธุรกิจฮ่องกงมีศักยภาพสูงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ส่วนขนาดของตลาดหุ้นไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากตลาดหุ้นสิงคโปร์เล็กน้อย แต่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยสูงสุดในอาเซียน การระดมทุนจากภาคเอกชนทำได้สูงสุดในอาเซียน เมื่อคัดเลือกหุ้น SET50 มาเชื่อมโยงกัน การเชื่อมโยงตลาดหุ้นไทย-ฮ่องกงสำเร็จจะส่งผลทั้งการซื้อขายหุ้น และการระดมทุนร่วมกันจะเกิดประโยชน์ตามมาสูงมหาศาล เอกชนไทย กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนอื่นๆ สามารถระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงได้ ส่วนฮ่องกงขยายเข้ามาในกลุ่ม CLMVT สะดวกมากขึ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา “Hongkong Business Seminar cum Networking Luncheon In Bangkok” จัดโดยองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council หรือ HKTDC) โดยระบุว่า หลังจากคณะทีมไทยแลนด์เดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงช่วงที่ผ่านมาฮ่องกงได้แสดงเจตจำนงเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศไทยชัดเจน เพื่อหวังให้ไทยเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศ CLMVT ส่วนไทยพร้อมใช้ฮ่องกงขยายการลงทุนไปสู่พื้นที่เขตเศรษฐกิจอ่าวกว่างตง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area - GBA) ของจีน
ขณะนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กำลังประสานงานกับสภาอุตสหากรรมฮ่องกง เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพิเศษสำหรับกลุ่มนักลงทุนฮ่องกง เพื่อให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ไทยจึงพร้อมอำนวยความสะดวกทุกด้าน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วมั่นคง ยั่งยืน
สิ่งสำคัญรัฐบาลไทยต้องการเชื่อมตลาดหุ้นไทย-ฮ่องกง เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงยิ่งใหญ่ติดอันดับโลก มีมูลค่าซื้อขายสูงมาก ขณะที่ธุรกิจฮ่องกงมีศักยภาพสูงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ส่วนขนาดของตลาดหุ้นไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากตลาดหุ้นสิงคโปร์เล็กน้อย แต่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยสูงสุดในอาเซียน การระดมทุนจากภาคเอกชนทำได้สูงสุดในอาเซียน เมื่อคัดเลือกหุ้น SET50 มาเชื่อมโยงกัน การเชื่อมโยงตลาดหุ้นไทย-ฮ่องกงสำเร็จจะส่งผลทั้งการซื้อขายหุ้น และการระดมทุนร่วมกันจะเกิดประโยชน์ตามมาสูงมหาศาล เอกชนไทย กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนอื่นๆ สามารถระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงได้ ส่วนฮ่องกงขยายเข้ามาในกลุ่ม CLMVT สะดวกมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องเร่งสานต่อความสัมพันธ์ไม่ให้หยุดชะงัก
สำหรับการเจรจา FTA ไทย-ฮ่องกง เน้นเจรจาด้านภาคบริการ และการดูแลประโยชน์ของนักลงทุน เพราะเป็นสิ่งสำคัญของการค้าระหว่าง 2 ฝ่าย เพราะตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-ฮ่องกงเพิ่มจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนการส่งเสริมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเป็นธุรกิจใหม่ ทั้งฝ่ายไทยและฮ่องกง จึงต้องเชื่อมโยงร่วมกัน โดยเฉพาะการออกแบบเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สตาร์ทอัพ ทั้งไทยและฮ่องกงสนใจร่วมมือกันอย่างมาก
โดยวันพรุ่งนี้ (29 พ.ย.) เตรียมประชุมหารือระดับสูงระหว่างนายสมคิด รองนายกรัฐมนตรี กับนางแคร์รี่ หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุดมศึกษาฯ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ส.อ.ท. ร่วมหารือ เพื่อใช้เป็นกลไกถาวรในการกระชับความร่วมมือทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมถึงประกันภัย ไฟแนนซ์ ตลาดทุน ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ รวมทั้งรากฐานการผลิต เพราะฮ่องกงตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 2 รองจากจีน เพื่อหนีสงครามทางการค้าจีน-สหรัฐ จึงต้องดึงบีโอไอ ส.อ.ท. มาร่วมช่วยเหลือ
นายเอ็ดเวิร์ด เหยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพัฒนาเศรษฐกิจ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า การนำนักธุรกิจรายใหญ่และสตาร์ทอัพเยือนไทยครั้งนี้ 50 ราย ทั้งด้านไฟแนนซ์ ภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างบริบทใหม่ร่วมกับไทยที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการรองรับเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพราะฮ่องกงได้มุ่งเน้นส่งเสริมเอสเอ็มอี ให้ขยายการลงทุนมายังไทยมากขึ้น เพื่อเข้ามาร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกัน เขตอีอีซี จึงเป็นจุดสำคัญของฮ่องกงที่ต้องการเข้ามาลงทุน