xs
xsm
sm
md
lg

กบอ.ขอท้องถิ่นจัดทำโครงการจัดการขยะครบวงจรใน EEC

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ที่ประชุม กบอ. รับทราบความคืบหน้าในการจัดประชุมคณะทำงานส่งมอบพื้นที่เพื่อทำโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินตามที่ กบอ. เคยมอบหลักการไว้ให้ก่อนหน้านี้ พร้อมมอบให้ สกพอ.ประสานงานจังหวัด และ อปท. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอโครงการจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี สู่ต้นแบบการกำจัดขยะอย่างยั่งยืน ทั้งขยะบก ขยะบนเกาะ และขยะในทะเล ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยให้กลุ่มบริษัท ปตท. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด มหาชน (GPSC) เข้าร่วมในการศึกษาเพื่อพัฒนาการลงทุนโครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 2/2562 ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับทราบและพิจารณาถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งหลังการลงนามร่วมลงทุนโครงการฯ เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 56 ได้ดำเนินงานต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาโครงการ เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุน

โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบถึงการจัดประชุมคณะทำงานส่งมอบพื้นที่ ฯ ครั้งที่ 1 ซึ่งมีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 26 เพื่อพิจารณาแผนเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค ตามที่ กบอ. เห็นชอบในหลักการไปแล้ว โดยคณะทำงานส่งมอบพื้นที่ฯ ได้พิจารณากิจกรรมที่จำเป็นของทุกหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร(กทม.) การประปานครหลวง(กปน.) การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) การปะปาส่วนภูมิภาค(กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งประกอบด้วย การเวนคืน การโยกย้ายผู้บุกรุก การรื้อย้ายสาธารณูปโภค การก่อสร้างทดแทน ช่วงดอนเมือง - พญาไท และลาดกระบัง - อู่ตะเภา และได้กำหนดระยะเวลาทำงานให้สอดรับกับกรอบกำหนดเวลาตามแผนการส่งมอบพื้นที่

นอกจากนี้ ยังได้รับทราบถึงการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล คณะกรรมการบริหารสัญญา และโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อให้การบริหารสัญญาโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นโครงการฯ ที่มุ่งเน้นการออกแบบและการก่อสร้างเป็นหลัก ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป

ด้านความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขในพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในส่วนของการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์การยกระดับด้านการแพทย์จีโนมิกส์ โดยวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน และสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ นำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพเมดิคัลฮับ ด้านการแพทย์จีโนมิกส์ โดย สกพอ. พิจารณาความเหมาะสมการจัดตั้งพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ตามคำขอการจัดตั้งจากมหาวิทยาบูรพา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ และนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มีพื้นที่โครงการฯ ประมาณ 3.8 ไร่ เป็นอาคารรวม 12 ชั้น พื้นที่อาคารรวมประมาณ 24,000 ตารางเมตร มีการลงทุนในระยะแรก 1,700 ตารางเมตร และมีเงินลงทุนเครื่องมือทางด้านเทคนิคเพื่อนำไปสู่การให้บริการจากเอกชน ประมาณ 1,250 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนจาก สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป

ส่วนโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยที่ประชุม ได้พิจารณาหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่อีอีซี (Thailand Genome Sequencing Center) เพื่อสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการด้านแพทย์จีโนมิกส์ (GenomicMedicine) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น โดยให้มีหน่วยงานจีโนมิกส์แห่งประเทศไทย (Genomics Thailand) ซึ่งเกิดประโยชน์ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ช่วยดูแลรักษาสุขภาพประชาชนลดภาวะแทรกซ้อน ลดการป่วย และลดค่าใช้จ่ายการรักษาที่ไม่แม่นยำ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูงไว้บริการ ใน Medical Hub และด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในประเทศไทย เสนอให้ กพอ. เห็นชอบ กรอบวงเงิน 750 ล้านบาท ของโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ให้แก่ กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ทุกปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจำนวน 50,000 ราย รายละไม่เกิน 15,000 บาท โดยให้ สกพอ. ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการ พร้อมเร่งศึกษารูปแบบแนวทางการจัดตั้ง และบริหารจัดการ

สำหรับการจัดการขยะในพื้นที่อีอีซีอย่างยั่งยืน จากสถานการณ์ปริมาณขยะมูลฝอยในพื้นที่อีอีซี ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 4,200 ตัน/วัน ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 6,800 ตัน/วัน ในปี 2580 แต่การจัดการขยะในปัจจุบันยังขาดประสิทธิภาพ และไม่เพียงพอกับปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีฝังกลบ ซึ่งเกิดผลเสียจากปัญหาการใช้พื้นที่เป็นบริเวณกว้างจนไม่สามารถรองรับขยะที่เกิดขึ้น และขยะสะสมใหม่ได้ อีกทั้งเกิดผลกระทบต่อการปนเปื้อนน้ำใต้ดินจากการรั่วซึม ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี เกิดประสิทธิภาพและยั่งยืน

ทั้งนี้ กบอ. จึงได้พิจารณามอบให้ สกพอ.ประสานจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอโครงการจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี สู่ต้นแบบการกำจัดขยะอย่างยั่งยืน ทั้งขยะบก ขยะบนเกาะ และขยะในทะเล ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และให้กลุ่มบริษัท ปตท. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด มหาชน (GPSC) เข้าร่วมในการศึกษาเพื่อพัฒนาการลงทุนโครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร ในปริมาณตามความต้องการ นอกจากนี้ ให้จังหวัดในพื้นที่อีอีซี เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งโรงงานขยะ และโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ โดยให้กระทรวงพลังงานพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น