"ออลล์ อินสไปร์" โชว์ฟอร์มผลงานโตสวนกระแสไตรมาส 3 โกยรายได้รวม 647 ล้านบาท เติบโต 39% กำไรสุทธิรวม 129 ล้านบาท เติบโต 172% ส่งผลงบ 9 เดือนแรกพุ่ง โดยมีรายได้รวมแตะ 2,339 ล้านบาท เติบโต 46% และมีกำไรสุทธิ 342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% พร้อมระบุเตรียมกลยุทธ์เจาะอสังหาฯ แนวราบให้ครบทุกมิติแบบครบวงจร เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากความเข้าใจและความพร้อมในการปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องต่อทุกสภาวการณ์และภาวะเศรษฐกิจมาโดยตลอด ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้า ประกอบกับการเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ในระดับราคาขายที่เหมาะสม ทำให้ทุกๆ โครงการมีกระแสตอบรับที่ดี
ส่งผลภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน 62) ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ และยอดขาย (Presales) นอกจากนี้ จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่น บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้จากยอดขายสะสมที่เกิดขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2562 (ก.ค.-ก.ย.62) มีรายได้รวมที่ 647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 466 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิประมาณ 20% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง
โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการโอนอสังหาฯ 2,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการโอนอสังหาฯ งวดเดียวกันของปีก่อน ที่ 1,399 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่มีกำหนดการแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 ของ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท โครงการ ไรส์ พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท และโครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2562 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่ากว่า11,400 ล้านบาท และคาดว่าปลายปีตัวเลขจะอยู่ที่ 12,000-13,000 ล้านบาท ทั้งนี้ Backlog ทั้งหมดแบ่งเป็นจากโครงการทาวน์โฮม จำนวน 300 ล้านบาท จากโครงการประเภท High Rise จำนวน 3,400 ล้านบาท และจากโครงการประเภท Low Rise จำนวน 7,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า (2562-2565) ทำให้บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (2563ภ2565) จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการทยอยรับรู้ตัวเลข Backlog ดังกล่าว
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2562 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 มีรายได้รวมที่ 2,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,602 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิประมาณ 15% สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2562
โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการโอนอสังหาฯ จำนวน 2,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ 1,399 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่มีกำหนดการแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 36% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่15%
“ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท ซึ่งยอดขายดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ 7,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายเป็นไปตามเป้าในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย และโครงการที่มีการเปิดขายในปี 2562 ได้แก่ 1.โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุทธิสาร 2.โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ และ 3.โครงการ อิมเพรสชั่น เอกมัย ซึ่งทุกๆ โครงการได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง”
นายธนากร กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 4/2562 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และล่าสุด ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยดังกล่าว ในด้านอัตราการผ่อนชำระต่องวดของผู้กู้ที่อยู่อาศัยที่ลดลง และจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกที่หนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2562 กลับมาคึกคัก
ทั้งนี้ จากแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ เป็นเครื่องตอกย้ำให้บริษัทฯ มั่นใจถึงอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 2562 ว่า รายได้รวมในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าที่ระดับ 7,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
บริษัทฯ มีแผนในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจในเชิงลึกมากขึ้น เพื่อตอกย้ำสู่การเป็นบริษัทผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ ตามเป้าวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ครบทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเริ่มจากการแตกไลน์เข้าไปลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงอาคารศูนย์การค้า เดอะ นิว ฟอรั่ม พลาซ่า จังหวัดชลบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จ และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากค่าเช่าเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ตลอดอายุสัญญาเช่า 29 ปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ซึ่งปัจจุบันมีโครงการแนวราบ 1 โครงการ คือโครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม โดยบริษัทฯ มองว่าดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจากความต้องการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีแนวคิดที่จะปรับกลยุทธ์โดยการเพิ่มรูปแบบประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคให้หลากหลาย และครบทุกมิติของที่อยู่อาศัย ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม ทั้งประเภท Low Rise และ High Rise บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง