ตลท.มอง 3 ปัจจัยหนุนหุ้นไทยปลายปีนี้ดีขึ้น แรงซื้อ LTF, MSCI ปรับน้ำหนักการลงทุน และตัวเลขเศรษฐกิจไทยดีขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีมีทิศทางดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุน 3 เรื่อง คือ 1. แรงซื้อกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปี ซึ่งคาดว่ายังมีเม็ดเงินอีก 30,000 ล้านบาท จากทั้งปีที่มีเม็ดเงิน 50,000-60,000 ล้านบาทที่จะเข้ามาช่วยพยุงตลาด 2. การที่ MSCI ได้มีการปรับพอร์ต (Rebalance) รอบเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งในส่วนตลาดหุ้นไทย MSCI จะมีการปรับหุ้นใหม่เข้าคำนวณเพิ่ม และ 3. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2562 จะดีขึ้นจากการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน และการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น เพราะผู้ส่งออกจะเร่งส่งออกในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งคาดว่ากดดันตลาดหุ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นายศรพลกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2562 จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทย 541 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 16,590 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.09 ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งไม่ได้น่ากังวลและเป็นการขายออกเช่นเดียวกับตลาดส่วนใหญ่ในเอเชียจากความขัดแย้งทางการค้าที่มีทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกอบกับการขยายระยะเวลาการที่สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรป ( Brexit)
อย่างไรก็ตาม แม้ต่างชาติจะมีการขายหุ้นไทย แต่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัดส่วนประมาณร้อยละ 30-40 สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีความหลากหลาย
ส่วนภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,601.49 จุด ลดลงร้อยละ 2.2 จากเดือนก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ด้านมูลค่าขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 52,059 ล้านบาท และมูลค่าระดมทุนไทยสูงสุดในภูมิภาค หลังจากการเข้าซื้อขายของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) ซึ่งมูลค่าระดมทุนสูงสุดในภูมิภาคปีนี้ สำหรับในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ของไทยอยู่ที่ระดับ 67,071 ล้านบาท