บลจ.กสิกรไทยชี้เศรษฐกิจชะลอกดดัน กนง.ลดดอกเบี้ย แต่ไม่กระทบมุมมองลงทุนมากนักเพราะเป็นไปตามคาดการณ์จากภาพรวมของเศรษฐกิจ ส่วนหุ้นไทยยังต้องจับตาบิ๊กมหาอำนาจสหรัฐฯ-จีนตกลงเรื่องการค้าว่าเป็นไปในทิศทางใด ปีนี้เคลื่อนไหวที่ 1,600-1,680 จนถึงช่วงปลายปี ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐบรรเทาเศรษฐกิจชะลอตัวได้
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในครั้งนี้อาจจะเร็วกว่าที่ทาง บลจ.กสิกรไทยคาด แต่ไม่มีผลกระทบต่อมุมมองการลงทุนและการปรับพอร์ตการลงทุนมากนักเนื่องจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมที่มองไว้คือยังคงชะลอตัวลง ถึงแม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้น่าจะช่วยบรรเทาการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจได้บ้าง
ขณะที่แนวโน้มของตลาดหุ้นในส่วนที่เหลือของปีน่าจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งหากยังยืดเยื้อหรือมีพัฒนาการไปในทางที่แย่ลงเรามองแนวรับของดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะอยู่ที่ 1,550 จุด แต่หากดูแนวโน้มการเจรจาจากปัจจุบัน ตลาดคาดว่าน่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นหรือทรงตัว ทำให้เรามองว่าระดับดัชนีสามารถเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,600-1,680 จนถึงช่วงปลายปีได้
"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 3 แสนล้านที่รัฐบาลทยอยออกมา รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นน่าจะช่วยบรรเทาการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจได้บ้างถึงแม้จะมีผลที่ค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้ยังหวังว่าการลงทุนภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานน่าจะเริ่มทยอยเห็นผลในปีหน้า" นางสาวธิดาศิริกล่าว
นางสาวธิดาศิริกล่าวอีกว่า การลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มธนาคารมากนักเพราะได้รวมอยู่ในประมาณการเอาไว้แล้ว และก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากแล้ว ส่วนหุ้นในกลุ่มที่บริษัทยังมองว่าเติบโตได้ดีจะเป็นหุ้นในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการบริโภค และการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะเห็นการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภค และนิคมอุตสาหกรรมคาดว่าจะมียังมีแนวโน้มที่ดี
"อัตรากำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทยมีการปรับลดลงจากต้นปีกว่า 10% ทำให้ปีนี้การเติบโตของผลกำไรไม่มี ซึ่งสำหรับปีหน้าจาก concensus คาดว่าตลาดจะมีการเติบโตของผลกำไรอยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนเรื่องการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยที่ ธปท.เปิดโอกาสให้สามารถทำได้นั้น เชื่อว่าระยะสั้นคิดว่ายังไม่น่ามีผลมากเพราะยังมีหลายขั้นตอนสำหรับรายย่อยสำหรับ process ในกระบวนการลงทุนและน่าจะยังสะดวกกว่าในการติดต่อผ่านตัวกลางอยู่ ส่วนระยะกลางถึงยาวยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีผลกระทบต่อกองทุนรวมต่างประเทศหรือไม่" นางสาวธิดาศิริกล่าว
อนึ่ง เงื่อนไขในการเปิดเสรีให้นักลงทุนรายย่อยสามารถออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เองจะมีวงเงิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากเดิมที่ต้องผ่านตัวกลางในประเทศ หรือต้องมีสินทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็น 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น