หลังให้เวลา ผู้บริหารและผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA มาเกือบ 3 เดือน เพื่อชำระค่าปรับในความผิด แต่ถูกเพิกเฉย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงส่งเรื่องให้อัยการฟ้องทางแพ่ง กำหนดบทลงโทษสูงสุด
ค่าปรับในชั้น ก.ล.ต. กำหนดไว้เดิมรวมทั้งสิ้น 1,727.38 ล้านบาท โดยลดหลั่นกันไปในชั้นความผิดของผู้ร่วมปั่นหุ้นทั้ง 40 ราย แต่เมื่อไม่ยอมจ่าย ก.ล.ต.จึงกำหนดอัตราค่าปรับใหม่ในขั้นสูงสุดเพิ่มเป็น 2,303.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 575.68 ล้านบาท และจะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะความผิดในการปั่นหุ้น อยู่ในฐานะความผิดการฟอกเงิน
ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต.เคยสั่งปรับแก๊งปั่นหุ้นในหลายดคี ซึ่งบางกลุ่มยินยอมจ่ายค่าปรับ ปิดคดีในชั้น ก.ล.ต. เช่น คดีปั่นหุ้น บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ABC ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ DIGI
แก๊งปั่นหุ้น ABC มีจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย มีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทฯ ร่วมขบวนการด้วย โดย ก.ล.ต. สั่งปรับเป็นเงิน 120 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดยินยอมจ่ายค่าปรับ
หรือคดีปั่นหุ้น บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และพวกรวม 3 คน ก็ยอมจ่ายค่าปรับ จำนวน 499.45 ล้านบาท ปิดคดีไปเหมือนกัน
ส่วน AJA เป็นหนึ่งในอีกหลายคดีที่ไม่ชำระค่าปรับในชั้น ก.ล.ต. และถูกส่งสำนวนไปให้อัยการ เพื่อฟ้องเรียกชำระค่าปรับในทางแพ่ง โดยยังไม่มีคดีใดที่ได้รับการตัดสินของศาล
ผู้บริหาร AJA เคยยื่นหนังสืออุทธรณ์บทลงโทษของ ก.ล.ต.แล้ว ขอให้พิจารณาทบทวนข้อกล่าวหา แต่คำอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น
โดย ก.ล.ต. ยืนกรานต้องชำระค่าปรับ จำนวน 1,727.387 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับในคดีปั่นหุ้นที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
แม้จะเป็นวงเงินที่สูง แต่ค่าปรับประเมินมาจากพฤติกรรมความผิด และได้ลดหย่อนแล้ว เพราะความผิดในการปั่นหุ้น ค่าปรับจะคำนวณจากผลประโยชน์ทั้งหมดที่ได้รับจากการปั่นหุ้น และคูณด้วยสอง
เช่น ได้ประโยชน์จากการปั่นหุ้น 100 ล้านบาท ก.ล.ต.จะลงโทษปรับ 200 ล้านบาท ซึ่งในอดีต ถ้าไม่ยอมชำระค่าปรับ จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้ฟ้องดำเนินคดีทางอาญา
แต่เนื่องจากคดีร้องทุกข์กล่าวโทษที่ส่งไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ มักถูกตัดตอน ไม่ขึ้นไปสู่การพิจารณาในชั้นศาล เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง ก.ล.ต. จึงต้องปิดจุดบอดในกระบวนการลงโทษปั่นหุ้น และหันมาดำเนินมาตรการลงโทษในทางแพ่ง เพื่อไม่ให้แก๊งปั่นหุ้นลอยนวลโดยไม่ต้องรับความผิดใดๆ
การส่งเรื่องให้อัยการฟ้องคดีทางแพ่ง เรียกชำระค่าปรับ 2,303.06 ล้านบาทนั้น เป็นบทลงโทษสูงสุดตามพฤติกรรมความผิด โดยเป็นการคำนวณตัวเลขจากผลประโยชน์ที่ได้จากการปั่นหุ้น AJA ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคมถึง 8 ตุลาคม 2557 หรือ 100 วันทำการ ซึ่งราคาหุ้นพุ่งจากระดับ 2.60 บาท/หุ้น ขึ้นไปยืนที่ระดับ 15 บาท/หุ้น
คดีปั่นหุ้น AJA จะมีบทสรุปอย่างไร ต้องรอติดตามชมต่อในชั้นศาลแล้ว เพราะยังไม่เคยมีคำตัดสินของศาล คดีฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในความผิดปั่นหุ้น
ถ้าสุดท้าย ศาลตัดสินลงโทษตามที่ ก.ล.ต.ฟ้อง สั่งปรับผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น AJA ทั้ง 40 ราย รวมเป็นเงิน 2,303.06 ล้านบาท จะกลายเป็นบรรทัดฐานคดีฟ้องร้องการปั่นหุ้นในทางแพ่ง
และเป็นบรรทัดฐานที่แก๊งปั่นหุ้นกลุ่มอื่นๆ จะต้องชั่งน้ำหนักว่า จะยอมชำระค่าปรับในชั้น ก.ล.ต. แต่โดยดี หรือจะสู้คดีกันในชั้นศาล
เพราะสู้คดีในชั้นศาล ก.ล.ต. จะเสนอบทลงโทษสูงสุด ถ้าแพ้อาจโดนปรับหนักเหมือน AJA