xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) บล.กสิกรคงเป้า SET 1,805 จุด แนะจับตาเลือกตั้ง ปี 62

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย
บล. กสิกรไทย ประเมินเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปีอยู่ที่ 1,805 จุด บนระดับ P/E ที่ 15.7 เท่า ชี้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 110 บาทต่อหุ้น แนะจับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนระอุ กระทบการลงทุนไทยในไตรมาส 4/2561 คาดการเลือกตั้งจะสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติดึงเม็ดเงินไหลกลับเข้าไทย



นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า บล. กสิกรไทย คงเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปี 2561 หรือ SET Index ปีนี้ไว้ที่ 1,805 จุด บนค่า P/E ที่ 15.7 เท่า ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS อยุ่ที่ 110 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เป้าหมายดัชนีจะมีการปรับตัวขึ้นได้ โดยประเด็นหลักยังต้องรอติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/61 ที่จะทยอยประกาศออกมาก่อน

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าในไตรมาส 3/2561 หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีผลประกอบการออกมาดี ได้แก่ ภาคการเกษตร, สถาบันการเงิน, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มโรงพยาบาล และอาหาร ส่วนหุ้นกลุ่มที่คาดว่า ผลประกอบการจะออกมาไม่ดีนัก คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากค่าการกลั่นที่จะเข้ามากดดัน

“ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ น่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากที่ผ่านมา ซึ่งเรายังคงประเมินว่า GDP เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับที่ 4.5% ตามปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนถึงการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่ในกลุ่มนอกภาคการเกษตร อาจจะไม่มีความน่ากังวลมากนัก แต่ในภาคการเกษตรการบริโภคยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากสภาพอากาศ ฤดูกาล และผลผลิต ตลอดจนปัญหาน้ำท่วมที่เข้ามากระทบ แม้ว่าราคาข้าวจะปรับตัวดีขึ้น แต่ผลผลิตในสินค้าเกษตรประเภทอื่นๆ ราคาในตลาดยังคงมีความผันผวนค่อนข้างมาก”

ขณะมองว่าในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลจะมีนโยบายออกมา เพื่อที่จะกระตุ้นในการบริโภคในลักษณะหาเสียงทางอ้อมอีกทางหนึ่งในระดับรากหญ้า ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้

ด้านประเด็นการเลือกตั้งภายในประเทศนั้น ได้เริ่มเห็นความชัดเจนขึ้นจากการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งประเมินว่า จะมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นในกรอบระยะเวลาภายในวันที่ 24 ก.พ.- 5 พ.ค.2562 ตามคาดการณ์ของการประชุมระหว่างรัฐบาล และพรรคการเมือง ซึ่งความชัดเจนที่เกิดขึ้น จะช่วยสนับสนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยถือว่ามีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยในกลุ่มประเทศเกิดใหม่

“ในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้ จะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาทถึง 1 แสนล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติไหลออกไปมากถึง 5.5 แสนล้านบาท”

นอกจากนี้ มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสิ้นปี 2561 แม้ว่าในช่วงการประชุมครั้งล่าสุด จะมีผู้ออกเสียงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเป็น 2 ต่อ 5 เสียง จากครั้งก่อน 1 ต่อ 6 เสียง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่ได้มีการปรับมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยยังคงตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ที่ 4.4% สื่อให้เห็นว่า ธปท. กังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ที่หดตัวถึง 11% ทำให้การบริโภคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก และสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอีกด้วย

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังหนีไม่พ้นความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งประเมินว่าจะมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากผ่านพ้นวันที่ 6 พ.ย.2561 ที่จะมีเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ไปแล้ว และในช่วงเดียวกัน จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ซึ่งเชื่อว่า ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถตกลง และเจรจากันได้

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่มีความโดดเด่นในไตรมาส 4/2561 ได้แก่ หุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KTB), กลุ่มการเงิน (MTC), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (SIRI, ORI, LH, SPALI), กลุ่มค้าปลีก (CPN, ROBINS), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), กลุ่มขนส่ง (JWD, BEM) และ IVL


กำลังโหลดความคิดเห็น