สภาธุรกิจตลาดทุนไทยคาด ดัชนีฯ เดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 อยู่ในระดับทรงตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศ และสงครามทางการค้าฉุดความ
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนสิงหาคม 2561 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยผลสำรวจชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนจับสัญญาณทิศทางเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศ และผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าและการลงทุน เป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
ขณะที่หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL) นอกจากนี้ ในส่วนของปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนกรกฎาคม มีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือน จากนั้น ช่วงกลางเดือนดัชนีฯ มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุด 1,601.42 จุดในช่วงต้นเดือน มาสู่ระดับสูงสุดที่ 1,701 จุด ในช่วงปลายเดือน จากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงในช่วงเดือนกรกฎาคม และความเชื่อมั่นภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง และ GDP Growth มีแนวโน้มขยายตัวถึง 4-5% ตามนโยบายการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ ผลสำรวจชี้ว่า ทิศทางการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทย คาดหวังว่า ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าลดลง และเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน”
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความกังวลทิศทางเงินทุนเข้าออกระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกีดกันทางการค้า และสงครามทางการค้า ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง เป็นปัจจัยที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณา คือ ทิศทางเศรษฐกิจโลก แม้ว่า IMF ได้ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังขยายตัวแข็งแกร่ง 3.9% แต่มีความกังวลสงครามการค้า ที่คาดว่าจะกระทบต่อการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2020 ผลกระทบจากการเจรจา BREXIT ของอังกฤษที่มีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปที่ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้ ทิศทางนโยบายทางการเงินของญี่ปุ่น ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน ขณะที่ต้องพิจารณาถึงแนวโน้มผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจจีน ที่มีต่อสงครามทางการค้า รวมถึงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการคลังของจีน และการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน ที่จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาค
ทั้งนี้ ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนสิงหาคม 2561 เป็นผลสืบเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 1.50% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการคาดการณ์การขยายตัวที่ดีทางเศรษฐกิจของไทย
นอกจากนี้ ในด้านดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนมิถุนายนนี้ อยู่ที่ระดับ 54 สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมที่จะถึงนี้ โดยให้น้ำหนักในปัจจัยหลัก ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในกรอบนโยบาย การคาดการณ์การขยายตัวที่ดีทางเศรษฐกิจ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นหลัก ทั้งนี้ ตลาดเริ่มที่จะคาดการณ์ถึงการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นกันบ้างแล้ว
“ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในช่วงประชุม กนง. รอบเดือนกันยายน 2561 (ประมาณ 11 สัปดาห์ข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 93 และ 87 ตามลำดับ ซึ่งดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี ปรับเพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้ว จากระดับ 90 ขณะที่รุ่นอายุ 10 ปี ปรับลดลงจาก 92 โดยดัชนีทั้งสองยังอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงทิศทางการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 5 ปี และ 10 ปี แต่ในพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี มีระดับความเชื่อมั่นลดลง ผู้ตอบแบบสำรวจให้ความสำคัญกับอุปสงค์ อุปทาน ในตลาดตราสารหนี้ไทย ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยในรอบนี้ Bond Dealers ยังให้น้ำหนักกับอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นมาด้วย”