บล. กรุงศรี คาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมพักฐาน แนะนักลงทุนระวังแรงขาย Sell on fact ในครึ่งเดือนหลัง ชี้ดัชนี SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,740 จุด ประเมินสงครามการค้ายังเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เหตุโดนัลด์ ทรัมป์ ยังใช้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” เรียกคะแนนเสียง
นายณภทัร จันทรเสรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กรุงศรี หรือ KSS กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือน ส.ค. 2561 คาดว่าจะกลับเข้าสู่การพักตัวจากที่บวกแรงในเดือนก่อนหน้า โดยครึ่งเดือนแรกมองว่า ดัชนียังมีโอกาสปรับขึ้นจากแรงเก็งกำไรก่อนที่จะมีการ ประกาศงบผลประกอบการไตรมาส 2/2561 (ส่งงบไตรมาส 2/2561 วันสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค.)
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า ในช่วงครึ่งเดือนหลังดัชนีมีโอกาสผันผวน และปรับลงจากแรงขาย Sell on fact หลังจากราคาหุ้นปรับขึ้น ซึ่งสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 2/2561 ไปแล้ว ประกอบกับตลาดเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงเดือน ก.ย. ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินต่างชาติมีโอกาสไหลออก เพราะแรงขายปรับพอร์ตอีกครั้งก่อนที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจริง
“เบื้องต้นเราประเมินดัชนีเดือน ส.ค. จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,740 จุด กลยุทธ์เดือน ส.ค. เน้นกลุ่ม Defensive ได้ผลบวกจากฤดูกาล เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และ ยังเน้นกลุ่มที่ผลประกอบการยังดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3/2561 โดยมีหุ้นที่โดดเด่น เช่น ANAN, BANPU, BCH, IVL และ SVI”
ขณะเดียวกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังมีความไม่แน่นอน คาดกดดันตลาดต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แม้ในช่วงปลายเดือน ก.ค. จะเห็นสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ในการระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า อุตสาหกรรมระหว่างกัน (ไม่รวมอุตสาหกรรมรถยนต์) และในช่วงต้นเดือนมีความพยายามระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ต้องการจัดประชุมลับเพื่อแก้ปัญหาการค้า แต่ปัญหาดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีท่าทีที่แข็งกร้าว โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งล่าสุด ทรัมป์สั่งการให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นเป็น 25% จากเดิม 10% นั่นหมายความว่า สงครามการค้าจะยังเป็นปัจจัยลบกดดันตลาด และคาดว่าจะยืดเยื้อไปจนถึงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ในช่วงเดือน พ.ย. เนื่องจากเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะยังใช้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” เป็นนโยบายในการเรียกคะแนนเสียง
ทั้งนี้ ในส่วนของเฟดที่ได้ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ยังเป็นปัจจัยกดดัน Fund Flow ไหลออก แม้ว่าการประชุมของเฟดใน เดือน ส.ค. จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75-2% ตามเดิม แต่การส่งสัญญาณจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. นั่นหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ขณะที่แบงก์ชาติของไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ ระดับ 1.5% ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และไทย เพิ่มมากขึ้นกดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ผลักดันให้เม็ดเงิน Fund Flow ต่างชาติยังมีโอกาสไหลออกได้อีกในช่วงปลายเดือน ซึ่งเป็นการขายปรับพอร์ตก่อนที่เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยจริงในเดือน ก.ย.
อย่างไรก็ดี ในเดือน ส.ค. หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์บวกได้แก่หุ้นกลุ่ม Real sector ที่ทยอยประกาศงบไตรมาส 2/2561 ซึ่งนักลงทุนอาจต้องระวัง Sell on fact หลังราคาหุ้นปรับขึ้นสะท้อนไปแล้ว เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน, สื่อสาร, อสังหาฯ และค้าปลีก จะทยอยประกาศงบไตรมาส 2/2561 ทำให้ช่วงต้นเดือนจะมีแรงเก็งกำไรก่อนถึงวันส่งงบสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค. ขณะเดียวกัน มองว่า ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นสะท้อนปัจจัยนี้ไปแล้ว ทำให้เป็นไปได้ที่หลังการประกาศงบจะมีแรงขาย sell on fact ออกมากดดันพอร์ตการลงทุนได้