วานนี้ (9 ก.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 บริเวณที่ตั้งโครงการหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิต ตัดกับถนนดินแดง กทม. พร้อมทั้งมอบกุญแจห้องให้กับผู้แทนได้สิทธิเช่า โดยมีพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และชาวชุมชนดินแดง 400 คนให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการนำร่องแห่งแรกที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจพัฒนาให้เป็นชุมชนคุณภาพ และรัฐบาลจะสนับสนุนให้โครงการระยะ 2, 3 และ 4 ได้ดำเนินการตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนมาวันนี้ เพื่อมาทำการบ้านให้เสร็จ ไม่ใช่มาเรื่องการเมือง ซึ่งกว่าโครงการจะแล้วเสร็จก็มีปัญหาติดขัดมาหลาย 10 ปี แต่รัฐบาลนี้ใช้เวลาเพียง 10 เดือน สามารถดำเนินการได้ ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ พม. กำหนดกรอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาวของประเทศ เพื่อให้เป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านการอยู่อาศัยของประชาชน ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วภายในปี 2579
“บ้านเรามีปัญหาการจัดทำผังเมือง การจะทำให้สำเร็จต้องใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทำผังเมือง แต่ถ้าทำ ก็มีปัญหาตามมา จะเห็นได้ว่ารัฐบาลได้วางแผนเรื่องที่อยู่อาศัย 20 ปี แต่โครงการระยะที่ 1 ได้มาเท่านี้ 4 ปีได้มาแค่นี้ เมืองไทยมีกี่คลอง กี่แม่น้ำ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องทำให้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ สังคมเมืองจะขยายไปเรื่อยๆ เหมือนในต่างประเทศ หรือแม้แต่การสร้างบ้านน็อกดาวน์ ราคา 60,000 ถึง 3 แสนบาท ตรงนี้ก็ดี” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
สำหรับโครงการอาคารพักอาศัยแปลง G มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท สูง 28 ชั้น จำนวน 334 ยูนิต ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร (ตร.ม.) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยเดิม อาคารแฟลตที่ 18-22 จำนวน 334 หน่วย สามารถขนย้ายเข้าอยู่อาศัยได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม-22 สิงหาคม เป็นต้นไป โดยค่าเช่าในปัจจุบันของผู้อยู่อาศัยเดิมเป็นหลัก จำนวน 300 บาทต่อเดือน รวมกับค่าบริหารจัดการสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ 825 บาทต่อเดือน และค่าภาษีโรงเรือน 12.5% จะทำให้ค่าเช่าใหม่อยู่ระหว่าง 1,286-4,371 บาทต่อเดือน และทุกๆ 3 ปี อัตราค่าเช่าจะมีการปรับขึ้น 5%
ดร. ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวเสริมว่า แผนพัฒนาในระยะที่ 2, 3, 4 (รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม) จำนวน 6,212 หน่วย กคช. ได้ออกแบบโครงการและจัดทำรายการการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยในระยะที่ 2 รอเสนอเข้าคณะรัฐมตรี (ครม.) คาดว่าจะอยู่ในกรอบในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน น่าจะดำเนินการได้ ซึ่งสอดคล้องกับการย้ายผู้อยู่อาศัยในระยะที่ 1 เข้าในแปลง G เรียบร้อย หลังจากนั้น จะเริ่มดำเนินการรื้อตึก เพื่อสร้างอาคารพักอาศัย จำนวน 2 อาคาร รวมทั้งสองอาคาร 1,232 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้จากกระทรวงการคลัง
อย่างไรก็ตาม ในระยะ 3 และ 4 นั้น จะเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาล และเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) จะมีการเสนอแผนให้คณะกรรมการ (บอร์ด) กคช. พิจารณาในวันนี้ (10 ก.ค.) เนื่องจากเป็นระยะที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 10 และ 23 อาคารตามลำดับ รวมทั้งโครงการ 36 อาคาร จำนวน 20,292 หน่วย ซึ่งผู้อยู่อาศัยใหม่ จะมีสัดส่วนที่มากกว่าผู้อยู่อาศัยเดิมอยู่ที่ 2:1 ตามแผนต้องแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2568
“รูปแบบของระยะ 3 และ 4 จะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้เช่า โดยเป็นการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน ราคากำหนดไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนยังไม่ชัดเจน ราคาตลาดช่วง 4-5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ราคาที่จะกำหนดจะต่างกัน เพื่อมาอุดหนุนโครงการในระยะที่ 1 และ 2 อย่างไรก็ตาม หากนำ 36 อาคารในส่วนสุดท้าย มาทำเรื่องแพกเกจการเงิน หรือจัดตั้ง กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) จะช่วยให้คืนทุนเร็ว การรอเอกชนจ่ายอย่างเดียวไม่พอ ระยะเวลาคืนทุนของเฟสที่ 3 และ 4 ประมาณ 10 ปี ซึ่ง กคช. จะทำหน้าที่บริหาร และจ่ายปันผลให้กับกองทรัสต์”.