หุ้นไทยรีบาวนด์ปิดพุ่ง 24.72 จุด สอดคล้องตลาดหุ้นทั่วโลกหลังตอบรับสงครามการค้าค่อนข้างมากแล้ว ขณะที่ Valuation เริ่มน่าสนใจ หลังจากที่ดัชนีฯ ได้ปรับตัวลงจนทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐฯ สูงขึ้นแตะค่าเฉลี่ยที่ 4.4% เป็นครั้งแรก จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 3.2%
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 มิ.ย.) รีบาวนด์สอดล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ก็รีบาวนด์กันเป็นส่วนใหญ่ หลังจากตอบรับเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ไปค่อนข้างมากแล้ว
ทั้งนี้ ตลาดฯ ได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่อาจจะไม่อ่อนตัวลงอย่างที่กังวลกันว่า การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 22 มิ.ย. นี้ จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันแบบสุดโต่ง แต่ตอนนี้ก็มองกันว่า โอเปกอาจจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตถึงขนาดนั้น ซึ่งกลุ่มโอเปก อาจจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ก็ไม่มาก หรืออาจจะตัดสินใจไม่เพิ่มก็ได้ ทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะรีบาวนด์ขึ้นมาได้
นอกจากนี้ Valuation ตลาดเริ่มน่าสนใจขึ้น หลังจากที่ดัชนีฯ ได้ปรับตัวลงจนทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐฯ สูงขึ้นแตะค่าเฉลี่ยที่ 4.4% เป็นครั้งแรก จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 3.2%
ส่วนเรื่องที่ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.) ปรับตัวลงแรง เป็นการขายเชิงเทคนิคจากการปิดสัญญาของพวก Block Trade เท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น ขณะนี้ก็ให้รอดูว่าเมื่อใดนักลงทุนต่างชาติจะหยุดขาย ซึ่งมองว่าแรงขายของต่างชาติน่าจะลดลงได้
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 1,664.26 จุด เพิ่มขึ้น 24.72 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.51% มูลค่าการซื้อขาย 60,045.53 ล้านบาท ด้านประเภทนักลงทุน สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,434.32 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,171.66 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,632.69 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,370.02 ล้านบาท.
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (21 มิ.ย.) นายณัฐชาต กล่าวว่า ตลาดฯ น่าจะรีบาวนด์ได้ต่อ โดยดัชนีฯ คงจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up โดยมีแนวรับ 1,640 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด พร้อมให้ติดตามข่าวจาก MSCI ที่คืนนี้จะพิจารณาว่าจะนำตลาดหุ้นซาอุดิอาระเบีย และอาร์เจนตินา เข้ามาอยู่ใน Emerging Market (EM) หรือไม่ ถ้านำเข้ามา ก็จะมีผลกลางปี 2562 และหากนำเข้ามาก็จะเป็น Sentiment ลบต่อตลาดเกิดใหม่อื่น รวมถึงไทยด้วย เพราะจะถูกลดน้ำหนักการลงทุนไปโดยปริยาย โดยกว่าที่จะทราบข่าวก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เช้า (22 มิ.ย.)