ENGIE เผยบรรลุข้อตกลงขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW จำนวน 69.1% ให้แก่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ตามเงื่อนไขการอนุมัติของผู้ถือหุ้น คาด ENGIE รับรู้รายได้จากการขาย GLOW กว่า 2.6 พันล้านยูโร
แหล่งข่าวจาก ENGIE กล่าวว่าได้ลงนามในข้อตกลงการซื้อหุ้นกับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในวันที่ 20 มิถุนายน เพื่อการขายหุ้นใน บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ในจำนวน 69.1% ที่เป็นส่วนการถือครองของ ENGIE
อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่เคยปฏิบัติมา ประกอบด้วยการอนุมัติของผู้ถือหุ้น GPSC และการอนุมัติด้านกฎระเบียบ ขณะเดียวกัน การซื้อขายครั้งนี้จะเป็นผลให้ ENGIE มีการรับรู้รายได้สุทธิจำนวน 2.6 พันล้านยูโร ซึ่งคาดว่าจะกระบวนการควบรวมกิจการจะเสร็จสมบูรณ์ก่อนสิ้นปี 2018
การขายส่วนแบ่งหุ้นที่มีอยู่ใน GLOW ครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ENGIE ที่จะมุ่งเน้นไปยังกิจกรรมคาร์บอนต่ำ การสร้างเครือข่ายทั่วโลก และการแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้า เมื่อขายส่วนแบ่งใน GLOW ไปแล้ว ENGIE จะไม่ได้ดำเนินงานโรงผลิตไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินในเอเชียแปซิฟิกอีกต่อไป และจะลดความสามารถในการผลิตของบริษัทที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงทั่วโลกลง 14 เปอร์เซนต์
“การซื้อขายครั้งนี้จะเป็นผลให้หนี้สุทธิโดยรวมของ ENGIE ลดลง 3.3 พันล้านยูโร ซึ่งจะเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายโปรแกรมการสับเปลี่ยนหมุนเวียนในพอร์ตที่บริษัทตั้งไว้เมื่อสองปีที่แล้ว รายรับจากการขาย GLOW จะช่วยเร่งการปรับเปลี่ยน ENGIE โดยการลงทุนใหม่ในโครงการที่เติบโต และสอดคล้องเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ การผลิตไฟฟ้าทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ การสร้างเครือข่ายทั่วโลก และการตอบโจทย์ให้แก่ลูกค้า”
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทาง GLOW จะยังคงดำเนินงานในโรงผลิตไฟฟ้าทั้งในประเทศไทย และลาว ในกำลังการผลิตไฟฟ้าโดยรวม 3.2 GW ประกอบด้วย 1 GW จากถ่านหิน และ 2 GW จากก๊าซ และ 0.2 GW จากพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ GLOW ยังได้จัดหาไอน้ำ น้ำบริสุทธิ์ปราศจากแร่ธาตุให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย
ทั้งนี้ ENGIE จะยังคงดำเนินการอย่างแข็งขันในเอเชียแปซิฟิก และมุ่งมั่นที่จะเติบโตขยายงานในภูมิภาคกับพนักงานจำนวนกว่า 4000 คน โดยการลดการผลิตโดยใช้ถ่านหินในภูมิภาคลงในระยะสามปีที่ผ่านมา และรวมถึงที่ลดลงไปเนื่องจากการซื้อขายครั้งนี้ ENGIE ยังคงดำเนินงานโรงผลิตไฟฟ้าต่างๆ รวม 4.2 GW ซึ่งขับเคลื่อนโดยโรงผลิตที่ใช้ก๊าซ และอีกส่วนหนึ่งที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ENGIE จะยังคงเติบโตในประเทศที่ ENGIE มีกิจการอยู่แล้ว และมีแผนที่จะขยายงานต่อไปในประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิกผ่านการจัดหาไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ และการแก้ไขปัญหาพลังงานที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การบริหาร จัดการอาคารแบบครบวงจร การพัฒนาระบบไฟฟ้าขนาดเล็กแบบกระจายศูนย์ ระบบจัดการความร้อนและความเย็น โครงข่ายการสัญจรสีเขียว และการช่วยเหลือชุมชนห่างไกลโดยให้เข้าถึงพลังงานหมุนเวียนที่วางใจได้