ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จับมือ เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) ตั้งบริษัทร่วมทุน “Siam Gateway” โดย TACC ถือหุ้นประมาณ 51% ส่วน NPP ถือหุ้นประมาณ 49% คาดดำเนินการแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อใช้ต่อยอดธุรกิจ เน้นเติมศักยภาพช่องทางการตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ ทั้งออนไลน์, ออฟไลน์, บีทูบี, บีทูซี และดิวตีฟรี มั่นใจขยายโอกาสในการต่อยอดธุรกิจในอนาคต พร้อมตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำผู้ให้บริการการส่งออกครบวงจร เพื่อช่วยผู้ผลิตสินค้าไทยตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติในหลักการให้บริษัทเข้า เจรจาร่วมทุนกับบริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPP เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ชื่อว่าบริษัท สยามเกตเวย์ จำกัด โดย TACC จะถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 51% ของทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุน กับ NPP ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 49% ของทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุน ขณะที่โครงสร้างการบริหารงานนั้น คณะกรรมการของบริษัทร่วมทุน จะมาจากตัวแทนจากผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายตามสัดส่วนการถือหุ้น
ทั้งนี้ บริษัท สยามเกตเวย์ จำกัด คาดว่าจะมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 50 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการร่วมลงทุนครั้งนี้ TACC จะนำเงินมาจากเงินทุนหมุนเวียนมูลค่าราว 25.50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่าง TACC และ NPP ซึ่งคาดว่าจะผลเจรจาให้แล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2561
สำหรับ บริษัท สยามเกตเวย์ จะดำเนินธุรกิจให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (One StopService) ซึ่งรวมถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์และจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อส่งออกต่างประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง จะเป็นศูนย์กลางส่งออกสินค้าครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น ออนไลน์ ออฟไลน์ และช่องทางของร้านค้าปลอดภาษี รวมถึงการบริหารการส่งออก ครอบคลุมภูมิภาค SEA และประเทศจีน
“เรามั่นใจว่า การร่วมทุนครั้งนี้จะสามารถส่งเสริม และต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัทได้ผ่านช่องทาง การจัดจำหน่ายของบริษัทร่วมทุน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มยอดจำหน่ายสินค้า และจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น รวมถึงจะสามารถช่วยสร้างการเติบโตที่ดีให้กับบริษัทได้ในอนาคต” นายชัชชวี กล่าว
ด้านนายศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPP กล่าวว่า การร่วมทุนทางธุรกิจระหว่าง NPP และ TACC ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเป็นการขยายศักยภาพทางธุรกิจ ซึ่งเชื่อแน่ว่าเป็นการจับมือที่ win-win และจะสามารถนำผลิตภัณฑ์ไทยสู่เวทีโลกแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรอีกหลายฝ่ายในการร่วมมือ เพื่อการส่งออกสินค้าอย่างครบวงจร เช่น หอการค้าไทยในจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการสินค้าในประเทศจีน เช่น การให้บริการข้อมูลเชิงลึกทั้งการตลาด, การจดทะเบียน, ช่องทางการจำหน่าย และการดำเนินการขอใบอนุญาตต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
โดยมีผู้ประกอบการที่หลากหลายที่สนใจส่งสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศกลุ่มเป้าหมายของบริษัท เช่น ผลิตภัณฑ์ของ Fitwhey ซึ่งเป็นผลิตภัณเวย์โปรตีนของบริษัท Food Global Innovation Co., Ltd. และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ของบริษัท CDIP (Thailand) Co., Ltd. ภายใต้แบรนด์สุภาพโอสถ ส่วนสินค้าอื่นๆ อยู่ระหว่างการเจรจา เชื่อว่าจะทยอยส่งสินค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการเปิดดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้วในไตรมาส 3/2561
“บริษัทเล็งเห็นว่า ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูง และมีการเติบโตของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนประเทศในกลุ่มอาเซียน ถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงเช่นกัน ส่งผลบวกต่อการให้บริการส่งออกสินค้าของ “สยามเกตเวย์” มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต” นายศุภจักร กล่าว