จากรายงานฉบับล่าสุดโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก พบว่า ในปี 2560 ยอดขายวิลลาในภูเก็ตอยู่ที่ 155 หลัง ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% โดย 90% ของยอดขายวิลลาทั้งหมดในปี 2560 เป็นวิลล่าในตลาดระดับกลาง-ล่างซึ่งมีราคา 5-35 ล้านบาท
แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่ายอดขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทั้งในตลาดวิลลา และคอนโดมิเนียมตากอากาศ เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อก่อให้เกิดรายได้ โครงการส่วนใหญ่เสนอแผนการปล่อยเช่าที่มีการรับประกันผลตอบแทนที่ 5-7% ต่อปีเป็นระยะเวลา 2-5 ปี โดยกลุ่มผู้ซื้อที่พักตากอากาศในภูเก็ต 3 อันดับแรกมาจากไทย ยุโรป และจีน
นางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการแผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “ยอดขายในตลาดระดับลักชัวรี ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 90 ล้านบาทขึ้นไปต่อหลัง สำหรับวิลลา และ 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต สำหรับคอนโดมิเนียมนั้นมีไม่มากนัก แต่ซีบีอาร์อี มั่นใจว่า ตลาดลักชัวรียังคงได้รับความสนใจอยู่ โดยเห็นได้จากยอดขายวิลลาจำนวนสองหลังในโครงการลายัน เรสซิเดนเซส บาย อนันตรา และจำนวนหนึ่งหลังในโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 300-500 ล้านบาทในปี 2560”
แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี คาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่พักตากอากาศที่ได้รับการบริหารโดยเครือโรงแรมเพิ่มมากขึ้น เพราะได้กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสนใจมากขึ้น สำหรับโครงการที่มีการรับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า
ในปี 2561 ซีบีอาร์อี เชื่อว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ทั้งในตลาดที่พักตากอากาศ และตลาดโรงแรมโดยตลาดที่พักตากอากาศในระดับกลาง-ล่าง จะยังคงเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นนักลงทุนเป็นหลักอยู่ต่อไป สำหรับตลาดระดับบน ซีบีอาร์อี เชื่อว่ายังมีโอกาสอยู่ แต่ก็มีความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาโครงการในการพัฒนาสินค้า ให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า.