“คลัง” แจงการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. ไม่เป็นภาระต่องบประมาณ-ไม่มีข้อผูกพัน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ชี้แจงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไม่ค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจของรัฐ 100% ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำประมาณ 3-4% โดยรัฐบาลอ้างว่า เป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปกู้เงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) (กองทุนรวมฯ) ซึ่งเป็นกองทุนเอกชน ที่มุ่งทำกำไรจากกิจการของรัฐ เป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ และสร้างกำไรให้เอกชนในอนาคต ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอ และกำลังลุกลามไปอีกหลายรัฐวิสาหกิจว่า การค้ำประกันให้แก่หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ ทั้งวัตถุประสงค์และผลตอบแทนของโครงการที่จะดำเนินการ สถานะทางการเงินและความสามารถในการดำเนินงานของหน่วยงาน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณาค้ำประกันตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการคลังให้การค้ำประกันอยู่ภายใต้กรอบไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 28 รวมทั้งยังเป็นการควบคุมการก่อหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับโครงการและศักยภาพของหน่วยงานนั้น ๆ อีกทางหนึ่งด้วย
กรณีของ กทพ. นั้น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีฐานะทางการเงินดี และดำเนินโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงินสูง กทพ. จึงสามารถบริหารเงินและภาระหนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถชำระคืนหนี้เพื่อลดยอดหนี้คงค้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ กทพ. ไม่ต้องขอบรรจุแผนก่อหนี้/ปรับโครงสร้างหนี้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2561
ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ชี้แจงข้อสังเกตุกรณีให้ กทพ. ไประดมทุนผ่านช่องทางกองทุนรวมฯ จะเป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ และทำให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอว่า การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ นับเป็นแหล่งระดมทุนทางเลือกใหม่ของรัฐวิสาหกิจในการระดมทุนจากฐานนักลงทุนรายย่อย และสถาบันโดยตรง และเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนในวงกว้างมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงการที่สร้างขึ้น ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางการตรวจสอบความคืบหน้าและความโปร่งใสของโครงการด้วย นอกจากนี้ วิธีการระดมทุนดังกล่าวยังช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถนำเงินทุนไปใช้ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณ และทำให้ประเทศสามารถใช้แหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ำ และมีจำนวนจำกัดไปลงทุนด้านอื่น ๆ ที่จำเป็น และไม่สามารถหารายได้เชิงพาณิชย์ได้ เช่น ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ได้เพิ่มขึ้น การที่ กทพ. ระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ จะทำให้ กทพ. สามารถลงทุนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสะสมรายได้ หรือรอการจัดสรรเงินกู้ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขนาดของสินทรัพย์ และความสามารถในการสร้างรายได้ของ กทพ. ในอนาคต
สำหรับการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ในกรณีของ กทพ. เป็นการนำกระแสรายได้ในอนาคตจากโครงการทางพิเศษในปัจจุบันมาระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในรูปของสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement: RTA) ระหว่าง กทพ. และกองทุนรวมฯ เพื่อให้ กทพ. สามารถนำเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ไปใช้ในการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของ กทพ. โดยการระดมทุนดังกล่าวไม่ถือเป็นการที่ กทพ. กู้เงินจากกองทุนรวมฯ เนื่องจากนักลงทุนเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงจากกระแสรายได้ค่าผ่านทางของทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่นำส่งให้กองทุนรวมฯ ในแต่ละปี ซึ่งเป็นไปตามผลการดำเนินงานจริง ดังนั้น หากรายได้ค่าผ่านทางในอนาคตไม่เป็นไปตามคาดการณ์ กทพ. ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากเงินกู้ ซึ่งต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มตามจำนวน
ดังนั้น จึงขอให้มั่นใจได้ว่า การดำเนินการของกระทรวงการคลังได้มีการคำนึงถึงวินัยทางการคลัง และศักยภาพของรัฐวิสาหกิจในการดำเนินโครงการต่าง ๆ รวมทั้งการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ซึ่งเป็นผู้ลงทุน ได้มีส่วนร่วมในการติดตามการบริหารโครงการของรัฐภายใต้การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ อีกทางหนึ่งด้วย