“เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” ชี้ภาพรวมธุรกิจ SET Index ปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้นทะลุ 1,800 จุด ตามภาพรวมเศรษฐกิจ ตั้งเป้าเพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่ 10% คาดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,870 จุด ปรับตัวดีตามทิศทางเศรษฐกิจ แนะระวังผลกระทบปัจจัยการเมือง ทำตลาดผันผวน แนะกลุ่มพลังงาน-สื่อสาร-โรงพยาบาล โดดเด่น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ( ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปีนี้ว่า ภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ปีนี้จัดว่าฟื้นตัวดีขึ้น ตามภาพรวมดัชนี SET Index ที่ทะลุ 1,800 จุด ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สะท้อนความเชื่อมมั่นในการลงทุน ทั้งจากนักลงทุนไทย และสถาบันในประเทศ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดเพื่อเก็งกำไรจำนวนมาก และต่อเนื่อง แต่กระนั้น ยอมรับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันกับธุรกิจโบรกเกอร์ด้วย
ขณะที่ในส่วนของเป้าหมายบัญชีลูกค้าใหม่นั้น บริษัทวางแผนที่จะปรับเพิ่มบัญชีนักลงทุนรายใหม่อีกอย่างน้อย 10% จากจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 200,000 บัญชีในปัจจุบันนี้ ไม่นับรวมบัญชีซ้ำที่ไม่มีการเคลื่อนไหว โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้า margin loan ให้กระจายไปสู่กลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของการปล่อยวงเงิน Margin loan ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่สามารถรองรับได้มากถึง 15,000-16,000 ล้านบาท
ด้านกระแสการระดมทุนผ่านเหรียญดิจิทัล หรือ ICO นั้น ทางเมย์แบงก์ มองว่า เป็นการระดมทุนในรูปแบบใหม่ที่มีความสะดวก รวดเร็ว และมีความน่าสนใจ โดยได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การระดมทุนประเภทนี้ยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง และมีความผันผวนต่อเนื่องอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ชัดเจนรองรับ ขณะที่ผู้ออก ICO ก็สามารถทำได้โดยทันที และการตรวจสอบเส้นทางการแปรรูปเงินดิจิทัลไปใช้ ก็ตรวจสอบได้ยาก และนักลงทุนเหรียญดิจิทัลมักจะไม่ให้ความร่วมมือในการขึ้นทะเบียนระบบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อมั่นว่าอนาคต หากรัฐบาลออกหลักเกณฑ์และกฎหมายมาควบคุมและรับรองการซื้อขายได้อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันนักลงทุนที่ถูกหลอกให้เข้าไปลงทุน
ขณะที่ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้รับฟังความคิดเห็นเรื่องบริษัทที่จะออกหลักทรัพย์ใหม่ ต้องใช้หลักเกณฑ์การจัดทำและเปิดเผยรายงานทางการเงิน ซึ่งในปัจจุบันบังคับใช้เฉพาะกับงวดปีและไตรมาสล่าสุด ไม่ได้มีการรายงานย้อนหลัง ซึ่งนำมาบังคับใช้กับรายงานทางการเงินทั้ง 3 ปีย้อนหลัง และไตรมาสล่าสุด รวมทั้งให้เปิดเผยรายการระหว่างกันย้อนหลัง 3 ปี มองว่าเป็นการการตัดโอกาสการเข้าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน เพราะหลาย ๆ บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายการจ้างผู้สอบบัญชีนานมากขึ้น และค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทฯ ที่ปรึกษาทางการเงินมากขึ้น ทำให้เกิดความยุ่งยาก และใช้เวลานาน ผลสุดท้าย ทำให้บริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นไม่อยากเข้าจดทะเบียน หรือไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นที่มีความสะดวกด้านเงื่อนไขหลักเกณฑ์มากกว่า ส่วนตัวอยากให้ ก.ล.ต. ทบทวนเงื่อนไขนี้ เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถเข้าระดมทุนได้มากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนอย่างน้อย 5-6 บริษัท
“ขณะที่ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยนั้น ประเมินว่าดัชนี SET Index ปีนี้จะเคลื่อนใหวอยู่ที่ระดับ 1,870 จุด เป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก และการลงทุนของภาครัฐ ที่จะได้รับอานิสงส์ทางตรง แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนไม่ควรประมาท เนื่องจากยังมีประเด็นในเรื่องต่างประเทศ ทั้งคาบสมุทรเกาหลี และตะวันออกกลาง ตลอดจนถึงประเด็นในประเทศ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ซึ่งหากไม่เป็นไปตามคาด อาจจะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปในปี 2562 ขณะที่รัฐเตรียมที่จะเปิดให้มีการการประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่อาจจะมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มกลุ่มสื่อสาร และการปรับขึ้นค่าแรงใหม่ในเดือนเมษายนนี้ ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน”
หุ้นที่มองว่าจะได้รับอานิสงส์ดีจะปรับตัวดี เป็นหุ้นขนาดใหญ่ กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ คือ พลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มสื่อสาร และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ได้แก่ IRPC, IVL, PTTGC, PRM, WICE
ทั้งนี้ ในส่วนของกรณีข้อพิพาทกับบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้านั้น ซึ่งอยู่ในการพิจารณาของศาลชั้นต้น และเตรียมเข้าสู่การนับสืบพยาน